Ads block

Banner 728x90px

หนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา


หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คืออะไร

เรื่องราวที่น่ากังวลของ “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” ในทุกวันนี้ก็คือผู้ถูกกล่าวหามักจะเขียน “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” ด้วยคำอธิบายที่สั้นลงทุกวัน มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก ถ้าเป็น “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” ในการสอบวินัยไม่ร้ายแรง แต่ถ้าเป็นการสอบวินัยร้ายแรง หรือการไต่สวนของ ปปช. , ปปท. ซึ่งมีการชี้มูลความผิดทั้งในทางวินัยและอาญาแล้วละก้อ การทำ “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา”ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญต่ออนาคต และอิสรภาพของผู้ถูกกล่าวหา

การทำ “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” นั้น หลายคนอาจถอดใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาฯ โดยที่ยังไม่เริ่มลงมือเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาสักบรรทัด 

มันไม่ใช่เพราะเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไม่ได้ แต่เป็นเพราะไม่รู้จะเริ่มเขียนอย่างไร บางครั้งการเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาสำหรับมือใหม่  ก็คล้ายกับการพายเรือในอ่าง จะพายนานแค่ไหน ก็วนกลับมาที่เก่าซ้ำแล้วซ้ำอีก 


    ในคดีวินัย หรือคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น หากผู้ถูกกล่าวหายอมรับสารภาพ กระบวนการลงโทษก็มักไม่มีปัญหา แต่หลายๆ กรณีเป็นกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเชื่อว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิด เช่น ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานทุจริต และตนเองไม่รู้เรื่องด้วย เช่น การลงนามตรวจรับเท็จ ตามการรายงานของช่างคุมงาน หรือ จ.พัสดุ 

   กรณีเช่นนี้ผู้สอบสวนที่ถือไพ่เหนือกว่าบางคน อาจบอกให้ผู้ถูกกล่าวหายอมรับสารภาพ พร้อมบอกเล่าว่าการสู้คดีอาจทำให้ไม่ได้รับการลดหย่อนโทษ หรืออาจโน้มน้าวให้ผู้ถูกกล่าวหา ยอมรับสภาพความผิดว่าตนเองได้กระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของความผิด
 
   กรณีดังกล่าว สำหรับผู้ถูกกล่าวหาบางคนที่ รู้ว่าตนเองไม่มีเงินจ้างนักกฎหมาย หรือไม่มีความรู้พอที่จะต่อสู้คดีได้เอง ก็อาจตัดสินใจเลือกการรับสารภาพ หรือยอมรับสภาพความผิดตามการโน้มน้าวหรือล่อลวงนั้นได้ เช่น กรณี จนท.การเงินหญิงรายหนึ่ง ซึ่งยักยอกเงินของทางราชการเพราะความเดือดร้อนภายในครอบครัว ต่อมาได้มาปรึกษาคดีกับผู้เขียนในชั้นอุทธรณ์คำสั่งไล่ออก พร้อมบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นขณะเซ็นชื่อรับสารภาพว่า

    "..เขาให้หนูเซ็น หนูก็เซ็นเลยค่ะ คือด้วยความตกใจเพราะไม่เคยถูกสอบสวนมาก่อน อีกอย่างหนูก็นำเงินมาใช้คืนที่ทำงานจนครบแล้ว ดังนั้น เขาให้เซ็นอะไรหนูก็เซ็นหมดเลย เพราะไม่คิดว่าโทษจะหนักถึงไล่ออก ตอนนี้หนูจะอุทธรณ์ฯ คำสั่งไล่ออกอย่างไร เพราะหนูรับสารภาพไปหมดแล้ว.." 

 
   บางครั้งการเกลี้ยกล่อมให้ยอมรับสารภาพก็อาจเปลี่ยนไปเป็นวิธีสอบสวนให้จนมุม จนต้องยอมรับสภาพความผิด ซึ่งในทางกฎหมายมันก็เหมือนคำรับสารภาพ เช่นกรณี จนท.ปกครองรายหนึ่ง ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าร่วมกันทุจริตกับผู้บังคับบัญชา และต่อมาได้นำเอกสารมาปรึกษาเรื่องการทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหากับผู้เขียน พร้อมบอกเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงการสอบสวนด้วยวาจา ที่ผ่านมาว่า.. 

    "..เมื่อประมาณ 6 เดือน ก่อนการแจ้งข้อกล่าวหา มีการเรียกตัวผมไปสอบสวนด้วยวาจา ซึ่งผมก็ไม่เคยรับว่าร่วมกระทำความผิดกับผู้บังคับบัญชาและ จ.พัสดุ เพราะผมไม่ได้ร่วมทุจริตกับพวกนั้นจริงๆ แต่เมื่อเขาถามผมว่า "ไปหารายชื่อผู้เสนอราคามาจากที่ไหน" "ผมส่งหนังสือเชิญชวนบริษัทเหล่านั้นให้มาเสนอราคาอย่างไร" 

    สิ่งที่ถูกถามข้างต้น ผมไม่ได้ทำเองเลย จ.พัสดุ ทำเอกสารทุกอย่างมาให้ผมเซ็น ผมก็ตอบเขาไปตามความจริงเช่นนี้ แต่สุดท้ายผมก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าร่วมกันทุจริตกับผู้บังคับบัญชาและ จ.พัสดุ ทั้งที่ ผมไม่รู้เรื่องการทุจริตของคนพวกนั้น ตอนนี้ ผมจะทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาอย่างไรครับ ในเมื่อผมรับสภาพความผิดไปแล้วว่า ตัวผมไม่ได้หารายชื่อผู้เสนอราคาเอง รวมทั้ง ผมไม่ได้ส่งหนังสือเชิญชวนผู้ใดมาเสนอราคา คำให้การที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมในวันนั้น  มันกลายเป็นพยานหลักฐานมัดตัวผมแล้วในวันนี้.."
 

    แต่ใช่ว่าการสอบสวนจะมีแต่การเกลี้ยกล่อมให้ยอมรับสารภาพ หรือสอบสวนให้จนมุม เพื่อให้ยอมรับสภาพความผิดเสมอไป บางครั้งมันก็เป็นเรื่องของความเฉยเมย ปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหาไปทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา แบบตามเวรตามกรรมกันเอง เช่นกรณีของอดีตลูกจ้างประจำวัยเกษียณท่านหนึ่ง ที่มาปรึกษาคดีกับผู้เขียนในชั้นฟ้องศาลปกครอง เพื่อขอเพิกถอนคำสั่งไล่ออก โดยลุงได้บอกเล่าถึงเหตุการณ์ขณะไปเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาว่า

    "..ลุงถูกเรียกเข้าไปในห้องสอบสวน เป็นคนที่ 2 หลังจากที่ป้าพิศ ซึ่งถูกเรียกตัวเข้าไปเป็นรายแรกเดินออกมาแล้ว ในห้องสอบสวน เขาถามแค่ว่าลุงชื่ออะไร จากนั้น เขาก็ให้ลุงเซ็นชื่อรับบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมบอกให้ลุงกลับไปทำหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหามาส่งเขาภายใน 15 วัน โดยที่เขาไม่สนใจจะถามว่าลุงได้ทำผิดตามที่เขาแจ้งข้อกล่าวหากับลุงหรือไม่ รวมทั้ง ไม่เคยถามว่าลุงเขียนหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาเป็นไหม ทั้งที่ ทะเบียนประวัติลูกจ้างประจำของลุง ที่เขารวบรวมไว้สำนวน มันก็ระบุอย่างชัดเจนว่าลุงจบชั้น ป.6 ถ้าวันนั้น เขาถามลุงสักคำว่าลุงทำผิดจริงไหม ชีวิตลุงก็คงไม่ถูกไล่ออกเหมือนเช่นในวันนี้ กล่าวจบน้ำตาของชายชราก็หลั่งริน.."
 
     “..มันไม่ใช่ความผิดของผู้สอบสวน เขาก็อยากจบงานของเขา” นี่คือคำพูดของช่างคุมงานในอีกคดีหนึ่งแถบภาคอีสาน ซึ่งถูกไล่ออกเพราะนำความเท็จเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าว  ตอนนั้น ผมจะเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเป็นหรือไม่ จะเขียนโกหกอย่างไรเขาก็ไม่ว่า รวมทั้ง ไม่เคยมีใครบอกผม ถึงผลเสียของการนำความเท็จของงานจ้างประเภทขุดลอกคลอง  เข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา กระทั่งอีก 5 ปีต่อมา เมื่อถึงวันที่ผมต้องการนำความจริงซึ่งเป็นผลสำเร็จของงานจ้างนั้น มาใช้ขอลดหย่อนโทษไล่ออกให้กับตนเอง รวมทั้ง ใช้ประกอบการร้องขอรอการลงโทษในคดีอาญา มันก็เป็นความจริงที่พิสูจน์ไม่ได้เลย เพราะลำคลองตื้นเขินหมดแล้ว  กลายเป็นความจริงที่เลื่อนลอยจากปากคำผมเพียงคนเดียว.."
 
    อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการสอบสวนวินัยจะมีแต่ประสบการณ์ที่เลวร้าย ผู้ถูกกล่าวหาหลายคนก็เคยมีประสบการณ์ที่ดีเกี่ยวกับผู้สอบสวน บางคนก็ให้กำลังใจ บางคนก็ช่วยสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานที่เป็นผลดีกับผู้ถูกกล่าวหา เพื่อให้ใช้ติดไม้ติดมือไปประกอบการขอลดหย่อนโทษไล่ออก หรือการร้องขอรอการลงโทษในคดีอาญา  บางคนก็ให้แง่คิดที่ดีว่า คดีมีหลักฐานชัดเจน ผู้ถูกกล่าวหาควรอดทนยอมรับความผิด การวิ่งเต้น อาจถูกหลอกลวงและทำให้ลำบากยิ่งขึ้น หากไปกู้ยืมเงินมาวิ่งเต้น บางคนแม้ไม่อาจให้คำแนะนำที่เป็นปรปักษ์กับหน้าที่ตนเองได้ แต่ถ้าหากเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาอาจมีทางรอด หรือสามารถผ่อนหนักเป็นเบาจากโทษไล่ออกได้ ก็อาจแนะนำให้ผู้ถูกกล่าวหาไปว่าจ้างนักกฎหมายให้ช่วยเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาก็มี
 
ข้อควรตระหนัก
 
แม้ผู้ถูกกล่าวหาหลายคนจะรู้ว่านักกฎหมายที่มีทักษะและประสบการณ์ด้านคดีวินัย สามารถแนะนำและให้คำปรึกษาที่ดีกับผู้ถูกกล่าวหาได้ ตั้งแต่เริ่มต้นการสอบสวน ไปจนถึงจุดสุดท้ายของกระบวนการทางวินัยในชั้นศาลปกครองก็ตาม

แต่ในความจริงก็มีผู้ถูกกล่าวหาจำนวนไม่น้อยที่จบชีวิตราชการด้วยการถูกไล่ออก จากการเข้าสู่กระบวนการสอบสวน แบบ “ตัวคนเดียว” 

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของนักกฎหมายด้านวินัย อีกส่วนหนึ่งก็คือ การไม่รู้ถึงโทษภัย ที่แฝงตัวอยู่หลังกฎกติกาการสอบสวน ที่ส่วนใหญ่มักวางเงื่อนไขการเรียกตัวผู้ถูกกล่าวหามาเซ็นต์รับทราบข้อกล่าวหาว่า จะต้องเป็นกรณีที่ผู้สอบสวนเห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอ ที่จะสนับสนุนข้อกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหา กระทำผิดวินัยในเรื่องที่สอบสวนแล้ว..เท่านั้น  ผู้สอบสวนจึงจะมีอำนาจเรียกตัวผู้ถูกกล่าวหาให้มาเซ็นต์รับทราบข้อกล่าวหา ตัวอย่างเช่น

    1 กรณี ขรก.พลเรือน กฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 ข้อ 38 กำหนดว่า “......ถ้าคณะกรรมการสอบสวน เห็นว่าจากข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย รวมทั้งพยานหลักฐานที่รวบรวมได้  เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหา กระทำผิดวินัยในเรื่องที่สอบสวน   . ให้แจ้งข้อกล่าวหา  และสรุปพยานหลักฐาน ที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ

    2 กรณี ขรก.ครู  กฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ.2550  ข้อ 24 กำหนดว่า “......ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการประชุม เพื่อพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานใดสนับสนุนข้อกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการใด เมื่อใด อย่างไร... ถ้าเห็นว่าเป็นความผิดวินัยกรณีใด มาตราใด ก็ให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ถูกกล่าวหามาพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา

ดังนั้น จากเงื่อนไขการแจ้งข้อกล่าวหาข้างต้น จึงแทบกล่าวได้เลยว่าเมื่อใดที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาจากผู้สอบสวน เมื่อนั้นย่อมหมายความว่าข้อกล่าวหาดังกล่าว มีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานเบื้องต้น เพียงพอที่จะรับฟังว่าท่านกระทำผิดทางวินัยหรือทางอาญา ตามฐานความผิดต่างๆ ที่ผู้สอบสวนแจ้งมาแล้วครับ




การเขียนแก้ข้อกล่าวหา คืออะไร


การเขียนแก้ข้อกล่าวหา คือการเขียนคำโต้แย้ง  หรือคำชี้แจงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ฝ่ายผู้สอบสวน/ไต่สวน แจ้งว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำผิด โดยก่อนการเขียนแก้ข้อกล่าวหานั้น ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องทำการวิเคราะห์ก่อนว่า “ข้อกล่าวหา” นั้น มีข้อความอันเป็น “ข้อเท็จจริง” “ข้อกฎหมาย” และ “พยานหลักฐาน” ตามการแจ้งข้อกล่าวหาอย่างไร และข้อความทั้งสามส่วนนี้ ถูกเชื่อมโยงความผิดมายังตัวผู้ถูกกล่าวหาอย่างไร 

ตัวอย่างที่ 1 การวิเคราะห์ข้อกล่าวหา กรณีละทิ้งหน้าที่ราชการและไม่ปฏิบัติตามระเบียบการลา ฝ่ายผู้สอบสวนอาจแจ้งข้อกล่าวหาแก่ท่านว่า "..ในระหว่างวันที่ 1-5 ต.ค. ท่าน(นายดำ) ไม่มาทำงานที่สำนักงาน A โดยไม่มีเหตุอันสมควร ครั้งต่อมาในวันที่ 6 ต.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่ท่านกลับมาปฏิบัติงาน ปรากฏว่าท่านไม่ดำเนินการยื่นใบลาต่อผู้บังคับบัญชาในวันดังกล่าว โดยมีการจัดส่งใบลาถึงผู้บังคับบัญชาในวันที่ 30 ต.ค. กรณีดังกล่าว จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบการลา ข้อ 18 วรรคแรก ซึ่งกำหนดให้ผู้ประสงค์ลาป่วยยื่นใบลาในโอกาสแรกที่กลับมาปฏิบัติงาน  ทั้งนี้ ได้มีพยานบุคคลซึ่งปฏิบัติงานในห้องทำงานแห่งเดียวกับท่านให้การยืนยันว่าท่านไม่มาปฏิบัติงานในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้ง ไม่เสนอใบลาต่อผู้บังคับบัญชาในวันแรกที่กลับมาปฏิบัติงาน กับทั้งมีพยานบุคคลอีกหนึ่งรายพบเห็นท่านที่หน้าโรงงิ้ว ถนนเยาวราช


ตัวอย่างที่ 2 การวิเคราะห์ข้อกล่าวหา กรณีการเบิกค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมอันเป็นเท็จ ฝ่ายผู้สอบสวนอาจแจ้งข้อกล่าวหาแก่ท่านว่า "..ในระหว่างเดือน ส.ค. สำนักงาน B ได้รับอนุมัติให้จัดอบรมเยาวชนภายในประเทศ แต่ผู้จัดอบรมได้พาคณะผู้อบรมไปกินอาหารและพักค้างที่โรงแรมในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อกลับมาผู้จัดอบรมได้นำใบเสร็จของโรงแรมและร้านค้าภายในประเทศ มายื่นประกอบการเบิกจ่ายเพื่อหักล้างเงินยืม โดยมีพยานซึ่งเป็นผู้เข้าอบรมให้ปากคำว่าไปกินอาหารและพักค้างที่โรงแรมในประเทศเพื่อนบ้าน และพยานที่เป็นพนักงานโรงแรม  และร้านอาหารซึ่งมีชื่อตามใบเสร็จได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินตามใบเสร็จดังกล่าว และใบเสร็จดังกล่าวไม่ใช่ของตน ต่อมาในเดือน ก.ย. ท่านในฐานะผู้รักษาราชการแทนหัวหน้าสำนักงาน B ได้ลงนามอนุมัติในฎีกาเลขที่ XX ให้เบิกเงินค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมดังกล่าว ทั้งที่ไม่มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อตามใบเสร็จแต่อย่างใด (อาจไม่แจ้งข้อกฎหมาย เพราะการนำใบเสร็จเท็จมาเบิก ก็เป็นการมิชอบแล้ว) 

    ทั้งนี้ ตัวหนังสือสีน้ำเงินคือส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง ตัวสีแดงคือส่วนที่เป็นข้อกฎหมาย และตัวหนังสือสีเขียวคือส่วนที่เป็นพยานหลักฐานที่ใช้สนับสนุนข้อกล่าวหา ส่วนบริเวณที่ขีดเส้นใต้ก็คือจุดเชื่อมโยงความผิด และเมื่อผู้ถูกกล่าวหาวิเคราะห์ข้อกล่าวหาทั้งสามส่วนเสร็จสิ้นแล้ว รวมทั้ง เล็งเห็นว่ามีช่องให้โต้แย้งแก้ข้อกล่าวหาหรือช่องทางขอลดหย่อนโทษหรือไม่ อย่างไรแล้ว ก็ให้ท่านวางโครงร่างการเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไปตามนั้น

วิธีเขียนหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา


       เนื่องจากกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน ต่างมิได้บัญญัติเรื่องรูปแบบ และวิธีการเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไว้ให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ศึกษา ส่วนใหญ่ที่ปรากฏจะมีเพียงการบัญญัติเรื่องสิทธิ์ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเท่านั้น ดังนั้น ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นการทำหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา หรือการไปให้ "ถ้อยคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา" สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย จึงมักจะอยู่ในรูปแบบการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ตามความรู้ความเข้าใจของตน ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะการชี้แจงข้อกล่าวหาที่มีประสิทธิภาพ และตรงประเด็นสามารถหักล้างข้อกล่าวหาได้ดีที่สุด คือ "การชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แบบหักล้างข้อกล่าวหา ตามหลักองค์ประกอบความผิด" ที่ผู้สอบสวน/ไต่สวน แจ้งมาในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา
    
    อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่ได้จบทางนิติศาสตร์หรือไม่มีที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัว เพื่อให้คำแนะนำเรื่ององค์ประกอบความผิด และการกำหนดประเด็นเพื่อหักล้างข้อกล่าวหานั้น เว็บวินัย ขอเรียนว่าวิธีการเขียนหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา แบบที่เข้าใจง่าย แม้อาจจะต้องขยันเขียนมากหน่อย แต่ก็เหมาะสำหรับการเขียนแก้ข้อกล่าวหาด้วยตนเอง ก็คือการเขียนแก้ข้อกล่าวแบบกำหนดเป็น "ประเด็นข้อพิพาท"

    ทั้งนี้ ผู้ถูกกล่าวหาบางท่านอาจสงสัยว่าการกำหนดประเด็นข้อพิพาท จะกำหนดอย่างไร ในเมื่อบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาฯ ไม่แยกเป็นรายประเด็นให้ไว้ กรณีดังกล่าว เว็บวินัยฯ ใคร่ขอยกมาตรา 183 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่อใช้ประกอบการอธิบายเรื่องการกำหนดประเด็นข้อพิพาท ดังนี้

“ในวันชี้สองสถานให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคำคู่ความและคำแถลงของคู่ความแล้วนำข้ออ้าง ข้อเถียงที่ปรากฏในคำคู่ความและคำแถลงของคู่ความเทียบกับดู และสอบถามคู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียง และพยานหลักฐานที่ยื่นต่อศาล  ว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้างข้อเถียงนั้นอย่างไร ข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น  ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง แต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับ และเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคำคู่ความ ให้ศาลกำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท  และให้กำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบ ……..”


จากข้อกฎหมายข้างต้น จะเห็นได้ว่า "ประเด็นข้อพิพาท"  คือปมปัญหาที่คู่ความทั้งสองฝ่ายยังคงโต้แย้งกันอยู่ หรือยังไม่ได้ข้อยุติ ดังนั้น วิธีการเขียนหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาในรูปแบบการกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท จึงอยู่ในลักษณะที่ว่าหากในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาฯ ปรากฏข้อความต่างๆ อันเป็นปมปัญหาที่ท่านประสงค์โต้แย้ง ก็ให้ท่านนำปมปัญหาเหล่านั้น มากำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทให้ครบทุกปมปัญหา 

จากนั้น ให้ทำการเขียนคำโต้แย้ง โดยการอธิบาย"ข้อเถียง”และเหตุผล พร้อมทั้ง อ้างพยานหลักฐานที่ใช้สนับสนุน “ข้อเถียง” ในแต่ละประเด็น ลงในหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา โดยเขียนไล่เรียง ตามเนื้อเรื่องที่ปรากฏตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ตั้งแต่ต้นจนจบโดยใช้รูปประโยคง่ายๆ ดังนี้


        " ตามที่ปรากฏในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา หน้าที่... ย่อหน้าที่... ความว่า........... นั้น ข้าฯ ขอชี้แจงว่าความดังกล่าวไม่เป็นความจริง หรือ ข้าฯ ขอชี้แจงว่าข้าฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าว เนื่องจาก ............................... ดังปรากฏตามบันทึกข้อความ......................................   หมายเหตุ การต่อสู้คดีนั้น ท่านจะเขียนเล่าแต่ความจริงอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องใช้พยานหลักฐานด้วย ที่ผ่านมามีผู้ถูกลงโทษที่มาปรึกษาคดีกับผู้เขียนในชั้นอุทธรณ์ฯ หลายรายที่พลาดเพราะเขียนเล่าแต่ความจริง โดยไม่อ้างถึงพยานหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตน หากท่านไม่เจอผู้สอบสวนที่ใจดีมีเมตตา ไปคลำหาพยานหลักฐานตามคำบอกเล่าของท่านละก้อ โอกาสอวสาน มีเยอะครับ จะไปกู้กลับคืนในชั้นอุทธรณ์ฯ หรือชั้นศาลปกครองก็ลำบาก 
 
            ส่วนกรณีที่ปรากฏตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา หน้าที่... ย่อหน้าที่... ความว่า........... นั้น ข้าฯ ขอชี้แจงว่าความดังกล่าวไม่เป็นความจริง หรือ ข้าฯ ขอชี้แจงว่าข้าฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าว เนื่องจาก .......................... หมายเหตุ ให้ท่านเขียนคำโต้แย้งในลักษณะเช่นนี้ไปเรื่อยๆ กระทั่งจบประเด็นข้อพิพาทที่ท่านเล็งเห็นจากบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้สอบสวน นำข้อเท็จจริงต่างๆตามคำโต้แย้งของท่านไปจัดการตามหลักองค์ประกอบความผิดต่อไป อนึ่ง การรู้หลักองค์ประกอบความผิด จะทำให้ผู้ถูกกล่าวหามีเข็มทิศในการเขียนคำโต้แย้ง ไม่ต้องตะลุยเขียนสู้ทุกประโยค ท่านควรพยายามหาที่ปรึกษากฎหมายให้ได้ ถ้าหาใครไม่ได้จริงๆ ก็ถามที่เลขากรรมการสอบสวน เลยครับ จะได้ไม่หลงทาง เชื่อว่าคงมีเมตตาอธิบายข้อกฎหมายแก่ท่านได้ 

จากนั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาทำการโต้แย้งและอธิบาย “ข้อเถียง” ในแต่ละประเด็นครบถ้วนแล้ว ให้ทำการเขียนคำขอของผู้ถูกกล่าวหาไว้ตอนท้ายของหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งส่วนใหญ่ คำขอท้ายหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา จะแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
  • กรณีรับสารภาพและประสงค์ให้ลงโทษสถานเบา ผู้ถูกกล่าวหาก็อาจมีคำขอท้ายหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา  ตัวอย่างเช่น จากข้อเท็จจริงที่ข้าให้การรับสารภาพข้างต้น ขอได้โปรดพิจารณาลดหย่อนโทษแก่ข้าฯ ตามสัดส่วนที่ข้าฯได้เคยทำคุณความดีในระหว่างรับราชการ รวมทั้งในระหว่างที่มีการสอบสวนวินัยในเรื่องนี้ ” (ควรใช้เฉพาะการสอบวินัยของหน่วยงานต้นสังกัดเท่านั้น)
  • กรณีปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาก็อาจมีคำขอท้ายหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ตัวอย่างเช่น จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย รวมทั้งพยานหลักฐานที่ข้าฯได้ชี้แจงมาข้างต้น จึงเป็นกรณีที่ข้าฯมิได้กระทำผิดตามที่กล่าวหา ขอได้โปรดมีคำวินิจฉัยให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวตกไป ตัวอย่างคำขอที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการแนะนำไว้อย่างกว้างๆ เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกกรณี ดังนั้น หากผู้ถูกกล่าวหาท่านใดมีเหตุผลพิเศษเพิ่มเติมประการใดก็สามารถเขียนเหตุนั้นเข้าไปเพิ่มเติมได้เลยครับ
ทั้งนี้ วิธีการเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ในแบบกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทข้างต้น เหมาะสำหรับการเขียนแก้ข้อกล่าวหาในเรื่องที่เป็นการกระทำผิดเฉพาะตัว ไม่ใช่เรื่องร่วมกันกระทำผิดแบบหลายคน ตัวอย่างเช่น เรื่องละทิ้งหน้าที่,เรื่องไม่อุตสาหะเอาใจใส่หน้าที่ เป็นต้น แต่หากเป็นเรื่องร่วมกันกระทำความผิดหลายคน ซึ่งมีการแจ้งข้อกล่าวหาซับซ้อนหรือบรรยายว่าแบ่งหน้าที่กันทำ หรือเป็นการไต่สวนชี้มูลความผิด ทั้งทางวินัยและทางอาญา เช่น การทุจริตต่างๆ นั้น เว็บวินัยฯ ขอเรียนว่าการเขียนแก้ข้อกล่าวหาในเรื่องร่วมกันกระทำผิด หรือเรื่องความผิดหลายกรรมหลายข้อกฎหมาย มิใช่เรื่องง่าย  ผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่มีประสบการณ์ในการเขียนแก้ข้อกล่าวหา ควรไปอาศัยทักษะและประสบการณ์ในงานสอบสวนและงานกฎหมายของเพื่อนฝูง ที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่วินัย หรือสำนักงานกฎหมายเฉพาะทาง ด้านคดีวินัย เพื่อให้ความช่วยเหลือเรื่องการจัดทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา หรือช่วยให้คำแนะนำและคำปรึกษา เรื่องการกำหนดประเด็นหักล้างข้อกล่าวหา น่าจะเป็นการรอบคอบและเหมาะสมกว่า

     เพราะการจัดทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาในชั้นสอบสวน/ไต่สวน มันก็เหมือนการติดกระดุมเม็ดแรกในกระบวนการทางวินัย ถ้าผู้ถูกกล่าวหาติดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็จะผิดเพี้ยนไปทั้งแผง ประมาณว่าผิดยาวไปถึงชั้นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษ และชั้นศาล ดังนั้น เพื่อเป็นการไม่ประมาท ผู้ถูกกล่าวหาจึงควรมีที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัว รวมทั้ง ควรวางแผนการจัดทำหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แบบสองชั้น เผื่อเนื้อผ้าที่ดีไปถึงชั้นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษและชั้นศาลด้วย นอกจากนี้ ท่านยังสามารถศึกษาเรื่องกระบวนการทางวินัยที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มเติมที่ เมนู 


กลยุทธ์ “การชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา”

หากจะกล่าวถึงทางรอดทางหนึ่งในการเขียนชี้แจงแก้ข้อกล่าวหานั้น ก็ต้องขอยกทางรอดของจำเลยในคดีอาญามาอธิบายประกอบเพื่อให้ท่านเห็นภาพกว้างๆก่อนว่าทางรอดทางหนึ่งของจำเลยในคดีอาญาที่ใช้ระบบกล่าวหาก็คือ การอาศัยทนายจำเลยไปซักค้านพยานโจทก์ ให้เบิกความตามรูปเรื่องที่ทนายจำเลยวางไว้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดข้อสงสัยในพยานหลักฐานของโจทก์ ว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงหรือไม่  ดังนั้น “การซักค้านพยานโจทก์” ในคดีอาญาที่ใช้ระบบกล่าวหา จึงเปรียบเสมือนดั่งอาวุธที่ทนายจำเลยจะใช้เอาชนะโจทก์ 

แม้ว่าการสอบสวนคดีวินัย จะใช้ระบบไต่สวนซึ่งมีหลักการรับฟังพยานหลักฐานที่แตกต่างจากคดีอาญาในระบบกล่าวหา รวมทั้ง ผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถส่งทนายไปซักค้านพยานหลักฐานที่ผู้สอบสวน นำมาสนับสนุนการแจ้งข้อกล่าวหาได้ก็ตาม  แต่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาก็สามารถนำหลักการ“การซักค้านพยานโจทก์ ” มาใช้เขียนบรรยายความ เพื่อคัดค้านพยานหลักฐานที่ผู้สอบสวนนำมาใช้สนับสนุนการแจ้งข้อกล่าวหาได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้สอบสวน  หรือองค์คณะผู้พิจารณาโทษ เห็นว่าพยานหลักฐานนั้น ไม่สามารถรับฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำผิด  ตัวอย่างเช่น การบรรยายความเพื่อหักล้างถ้อยคำพยานบุคคล ซึ่งเป็นพยานบอกเล่า มิใช่ประจักษ์พยานในคดีชู้สาว เป็นต้น

Tips:หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

     ในการเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาด้วยตนเองนั้น ผู้ถูกกล่าวหาอย่าใจร้อนรีบทำ “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” หรือ รีบไปให้ “ถ้อยคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” ท่านควรตรวจบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาฯ ให้ละเอียดถี่ถ้วนว่ามีประเด็นกล่าวหาหลักจำนวนเท่าใด รวมทั้ง มีการแจ้งพฤติการณ์แวดล้อมประกอบการกระทำผิดที่ผู้สอบสวนนำมาเขียนบรรยายสื่อให้เห็นว่าตัวท่านมีเจตนากระทำผิด หรือมีเจตนาร่วมกระทำผิดกับบุคคลอื่นๆ อีกจำนวนเท่าใด 

ต่อมา เมื่อท่านมีข้อโต้แย้งและพยานหลักฐานที่จะใช้หักล้างประเด็นกล่าวหาและพฤติการณ์แวดล้อมครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว ท่านจึงค่อยเขียนคำโต้แย้ง และนำพยานหลักฐานเข้าสู่สำนวนคดี เพื่อไปหักล้างข้อกล่าวหาต่างๆ ให้ครบถ้วน ทั้งประเด็นกล่าวหาหลัก และบรรดาพฤติการณ์แวดล้อม อย่าปล่อยให้ผู้สอบสวน ได้รับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่ใช้สนับสนุนข้อกล่าวหาเพียงบางช่วงบางตอน หรือมีโอกาสรับฟังจากพยานเอกสารแต่เพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้ท่านเสียเปรียบทางคดีเป็นอย่างมาก เนื่องจากคดีวินัยหรือคดีเกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น ส่วนใหญ่ ตัวผู้ถูกกล่าวหาจะถูกมัดด้วยพยานเอกสาร ที่มีลายเซ็นต์ของตัวผู้ถูกกล่าวหาซึ่งได้ลงนามไประหว่างการปฏิบัติหน้าที่ราชการมัดตัวอยู่แล้ว

อีกทั้ง ผู้ถูกกล่าวหาควรหาเวลาว่างแบบยาวๆ เพื่อมานั่งเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยเฉพาะข้อกล่าวหาในการสอบวินัยร้ายแรง หรือการไต่สวนของ ปปช. ที่มีการชี้มูลความผิดทั้งทางวินัยและทางอาญา ซึ่งถือเป็นงานเขียนที่ชี้ชะตา  ชี้อนาคต  และชี้อิสรภาพของผู้ถูกกล่าวหา เพราะการเขียนหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหานั้น เป็นเรื่องที่ยาก กว่าผู้ถูกกล่าวหาจะทำความเข้าใจข้อกล่าวหาในแต่ละเรื่องแต่ละประเด็นได้  ต้องใช้สมองมากกว่าเวลาทำงานปกติ  บางประเด็นต้องอาศัยเวลาขบคิดที่ต่อเนื่อง และยาวนาน การอาศัยเพียงช่วงเวลาสั้นๆ หลังเลิกงาน มันจะทำให้ท่านมีเวลาคิดตรึกตรองน้อยลง ดังนั้น ในการเขียนแก้ข้อกล่าวหาที่ซับซ้อน ท่านจึงไม่อาจแบ่งสมองเพื่อทำสองสิ่งให้ดีพร้อมกันได้  สุดท้ายนี้ เว็บฯ หวังว่าวิธีเขียน “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” ข้างต้น คงจุดประกายแนวคิดให้กับทุกท่านที่ประสบปัญหาถูกสอบสวน / ไต่สวน หรือเป็นผู้ที่มีชีวิตการทำงาน ชนิดที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย ต้องพยายามต่อสู้อย่าให้มันขาดลงครับ

บันทึกท้ายเว็บ

วันที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหานั้น  เชื่อว่ามันเป็นวันที่ผู้ถูกกล่าวหาเกือบทุกคน คิดไม่ถึงว่าชีวิตราชการของตน เดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

    บางคนอาจถูกบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้หันเหชีวิตราชการเข้าสู่เส้นทางการกระทำผิด  บางคนอาจตกเป็นผู้กระทำผิด เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือตกเป็นแพะรับบาปจากการกระทำของเพื่อนร่วมงาน หรือผู้บังคับบัญชา

    แม้จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่เส้นทางกระทำผิดของผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ถูกกล่าวหาอาจมีเหมือนกันก็คือ การขาดทักษะ และประสบการณ์ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา 

    ในส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนอยากให้ผู้ถูกกล่าวหาทุกท่าน ใช้บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเป็นเครื่องตัดสินใจว่าท่านควรจ้างนักกฎหมายหรือไม่ เพราะการเขียนแก้ข้อกล่าวหาในเรื่องทุจริต  ที่มีการแจ้งความผิดทั้งทางวินัยและอาญา มันมิใช่เรื่องง่าย สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่มีทักษะและประสบการณ์ 

      ที่ผ่านมาเคยมีเคสผู้รับบำนาญถึง 2 ราย ที่ไปลอกคำชี้แจงฯ ของหัวหน้าเก่าซึ่งเขียนอ้างแต่ผลสำเร็จของงาน มาเป็นคำชี้แจงฯ ของตนเอง ด้วยความเกรงใจ และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สุดท้ายก็ถูกไล่ออกตามหัวหน้า ต้องถูกงดเงินบำนาญ ทั้งที่ผู้เขียนถามข้อเท็จจริงแล้วไม่ได้กระทำผิดใดๆ กับหัวหน้าเก่าเลย  ขอให้เชื่อเว็บวินัยเถอะครับ  ยิ่งท่านไม่ได้กระทำผิด หรือเห็นช่องทางต่อสู้คดีมากเท่าใด ก็ควรรีบไปจ้างหรือรีบไปปรึกษานักกฎหมายส่วนตัวมากขึ้นเท่านั้น..  

       นอกจากนี้ การไปปรึกษาคดี  "ล่วงหน้า" ก่อนที่ท่านจะเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาส่งให้ผู้สอบสวนนั้น นอกจากท่านจะได้รับประโยชน์จากคำแนะนำเรื่องวิธีการเขียนหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา และเรื่องการกำหนดประเด็นเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาแล้ว มันยังคล้ายกับการนำพยานหลักฐานที่ท่านตั้งใจจะใช้แก้ข้อกล่าวหาไปให้ผู้ให้คำปรึกษาตรวจดู ว่าท่านจะสอบผ่านหรือไม่ 

     หากท่านไปปรึกษาคดี ด้วยพยานหลักฐานดังกล่าวแล้ว ผู้ให้คำปรึกษาคดีที่เก่งๆ และมีประสบการณ์ เห็นว่าท่านไม่น่าจะสอบผ่านเพราะพยานหลักฐานมีช่องว่างหรือข้อพิรุธตรงนั้นตรงนี้ อย่างน้อยท่านยังมีโอกาสสอบซ่อม ด้วยการไปหาพยานหลักฐานใหม่มาอุดช่องว่างหรือข้อพิรุธเหล่านั้น หรืออาจเพิ่มขอบเขตการเขียนหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา ให้ปรากฏเนื้อผ้าที่ดี สำรองไว้สำหรับการอุทธรณ์ขอลดหย่อนโทษไล่ออก หรือการขอรอการลงโทษในคดีอาญา หรือในรูปแบบอื่นๆ ในลักษณะการผ่อนหนักให้เป็นเบา ตามแต่พยานหลักฐานจะเอื้ออำนวยก็ได้

 

   ดังนั้น ..... สำหรับท่านที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในระดับวินัยร้ายแรง หรือถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งทางวินัยและอาญา ชนิดหลายกรรมหลายฎีกา หรือเป็นเรื่องยักยอกเงินในระบบ GFMIS หลายวันหลายเวลา ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกจำคุกระยะยาวนั้น 

     อย่างน้อย ..... ก่อนที่ท่านจะลงมือเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาด้วยตนเอง ท่านควรจะรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาให้มากที่สุด แล้วนำไปปรึกษาคดีกับสำนักงานกฎหมายต่างๆ  ซึ่งเปิดรับงานให้คำปรึกษาเฉพาะทางด้านคดีวินัยข้าราชการ เพื่อโอกาสในการแก้ไขปัญหาเชิงบวกให้กับตนเองครับ

........................................................
หมายเหตุ 

-ข้อความและตัวละครในหน้าเว็บหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา เป็นความเห็นและเหตุการณ์สมมุติ ที่ดัดแปลงจากเรื่องจริง

8 ความคิดเห็น:

อ.วินัย (แจ๊ค) ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า...

ความเห็น..

เมื่อถูกแจ้งข้อกล่าวหาในเรื่องวินัยและอาญา ผลที่ตามมาอาจร้ายแรง ฉะนั้น เมื่อใดที่การชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของท่านมีความเสี่ยง

1.หากท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ จงอย่าทำคำชี้แจงฯ หรือหลักฐานเท็จเพื่อรับรองผู้ใด เช่น ทำหลักฐานการรับเอกสารเสนอราคาอันเป็นเท็จ ทำหลักฐานการปิดประกาศ หรือส่งไปรษณีย์อันเป็นเท็จ เพราะอาจมีอันตรายซ่อนอยู่ เนื่องจากกระบวนการสอบสวนก็คล้ายการเล่นเกมต่อจิกซอว์ ทางผู้สอบสวนจะทำการสอบสวนพยานเพื่อไล่ต่อจิกซอว์ไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดกระแสความ ซึ่งบางครั้งตัวท่านและเพื่อนร่วมงาน อาจมีจิกซอว์เพียง 2-3 ชิ้น ที่ต่อรวมกันได้เป็นภาพนกกำลังโบยบิน แต่เมื่อนำจิกซอว์ดังกล่าว ไปต่อรวมกับจิกซอว์ทั้งหมดที่อยู่ในมือผู้สอบสวน อาจได้เป็นภาพนกที่กำลังโบยบินอยู่ภายในกรงขังก็ได้ครับ ฉะนั้น หากท่านมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง จงอย่าสร้างคำชี้แจงเท็จ หรือหลักฐานเท็จเพื่อไปรับรองใคร

2. หากท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ให้หยุดคิดและพิจารณาก่อนว่าพฤติการณ์กระทำผิดนั้น เป็นความผิดวินัยเพียงอย่างเดียว หรือเป็นทั้งความผิดวินัยและอาญา หากท่านเป็นเพียงผู้กระทำผิดวินัยอย่างเดียว โปรดทราบว่าในกระบวนการทางวินัย ยังแยกย่อยลงไปอีกว่าพฤติการณ์นั้น เป็นความผิด “วินัยร้ายแรง” หรือ “วินัยไม่ร้ายแรง” ดังนั้น จงอย่าสร้างคำชี้แจงเท็จ หรือหลักฐานเท็จ เพื่อสนับสนุนผู้กระทำผิดอาญา เพราะอย่างน้อย ท่านก็ยังเหลืออิสรภาพ และได้กลับบ้านเพื่ออยู่ดูแลลูก และครอบครัว

3.หากท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางอาญา โปรดทราบว่าในกระบวนการทางอาญา ยังแยกย่อยลงไปอีกว่าพฤติการณ์กระทำผิดนั้น เป็น “การประพฤติมิชอบด้วยหน้าที่” หรือเป็น “การทุจริตต่อหน้าที่” ดังนั้น หากพฤติการณ์ท่านเป็นเพียง “ ผู้ประพฤติมิชอบด้วยหน้าที่ ” จงอย่าสร้างคำชี้แจงเท็จหรือพยานหลักฐานเท็จ ไปสนับสนุน “ผู้ทุจริตต่อหน้าที่” เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษที่รุนแรงกว่า

อนึ่ง สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่มีความเสี่ยงกับโทษวินัยร้ายแรง หากปัจจุบันนี้ ท่านมีภาระหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระกับบรรดาเจ้าหนี้กลุ่มต่างๆ ก็ควรพยายามปรับโครงสร้างหนี้ จากหนี้นอกระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมีวิธีการทวงหนี้โดยใช้ความรุนแรง มาเป็นหนี้ในระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมีวิธีการทวงหนี้ตามกฎหมาย รวมทั้ง ควรงดเช่าซื้อหรือผ่อนสินค้าใดๆ เพิ่มเติมเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤต จนกว่าท่านจะได้รับหนังสือแจ้งยุติเรื่อง หรือได้รับคำสั่งลงโทษในระดับวินัยไม่ร้ายแรง

หากท่านสามารถจัดการภาระหนี้สินให้อยู่ในระบบสถาบันการเงินได้หมดแล้ว เป้าหมายต่อไป ที่ควรพิจารณาดำเนินการก็คือ การจัดการกลุ่มหนี้สินที่ใช้บุคคลค้ำประกัน ก่อนกลุ่มหนี้สินที่ไม่ใช้บุคคลค้ำประกัน ทั้งนี้..เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อเพื่อนร่วมงาน หรือญาติสนิทที่เป็นผู้ค้ำประกันครับ

อ.วินัย (แจ๊ค) ที่ปรึกษากฎหมาย

อ.วินัย (แจ๊ค) ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า...

ความเห็น...

อย่า ทิ้งบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา จนกว่า...ท่านจะได้รับหนังสือแจ้งยุติเรื่อง

เพราะปัญหาที่ผู้ถูกกล่าวหา อาจประสบหลังเซ็นรับทราบคำสั่งลงโทษก็คือ ไม่สามารถคัดรายงานสอบสวน/ไต่สวน เพื่อนำไปประกอบการจัดทำคำอุทธรณ์ฯ ได้ทันภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งลงโทษ หรือไม่สามารถขอคัดรายงานไต่สวน เพื่อนำไปประกอบการจัดทำคำฟ้องศาลปกครอง ได้ทันภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งลงโทษ หรือ ไม่อาจขอคัดรายงานสอบสวน/ไต่สวนได้เลย จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแนวทางปฏิบัติในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานแต่ละแห่ง

วิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า กรณีท่านต้องจัดทำคำอุทธรณ์ฯ หรือคำฟ้องศาลปกครอง โดยไม่มีรายงานสอบสวน/ไต่สวนเป็นลายแทงในการเขียนคำโต้แย้งก็คือ การนำกลุ่มข้อความที่ปรากฏตามคำสั่งลงโทษกับกลุ่มข้อความที่ปรากฏตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา มาเป็นกรอบกว้างๆ ในการเขียนคำอุทธรณ์ฯ หรือคำฟ้องฯ ให้ทันระยะเวลาไปพลางก่อน

แม้ท่านไม่อาจเขียนคำอุทธรณ์ฯ หรือคำฟ้องฯ ได้ตรงประเด็นที่ผู้สอบสวน/ไต่สวนนำมาวินิจฉัยความผิดก็ตาม แต่ก็ดีกว่าไม่มีกรอบในการเขียนคำอุทธรณ์ฯ หรือคำฟ้องฯ เลย ต่อมาเมื่อท่านได้รับรายงานสอบสวน/ไต่สวนแล้ว จึงค่อยทำเป็นคำโต้แย้งคำสั่งลงโทษให้ตรงประเด็นที่ผู้สอบสวน/ไต่สวนนำมาวินิจฉัยความผิด ทั้งในส่วนที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงโดยละเอียด แล้วจึงนำไปยื่นเพิ่มเติมกับศาลฯ หรือองค์กรพิจารณาอุทธรณ์ต่อไป

ฉะนั้น หลังการส่งหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาจึงควรจัดเก็บบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมทั้งหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาและเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้ก่อน จนกว่า...ท่านจะได้รับหนังสือแจ้งยุติเรื่อง

หมายเหตุ กรณีการยื่นคำอุทธรณ์เพิ่มเติมนั้น อาจมีองค์กรพิจารณาอุทธรณ์บางแห่งที่เคร่งครัดต่อข้อกฎหมาย ปฎิเสธไม่รับคำอุทธรณ์ฯ ฉบับเพิ่มเติมที่ท่านยื่นเกิน 30 วันนับแต่วันรับทราบคำสั่งลงโทษ ดังนั้น ท่านจึงควรตรวจสอบกฎเกณฑ์การอุทธรณ์กับต้นสังกัด และปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอข้อโต้แย้งฉบับเพิ่มเติมตามวิธ๊การที่เหมาะสมต่อไป

อ.วินัย (แจ๊ค) ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า...

ความเห็น

คำแนะนำฉุกเฉิน สำหรับผู้แก้ข้อกล่าวหา “ไม่ผ่าน”

1. ตั้งสติ และตระหนักว่าการอุทธรณ์ฯ และการฟ้องคดีปกครอง มิใช่เรื่องง่าย ที่จะลงมือทำโดยไม่มีทักษะและประสบการณ์ ตลอดทั้งองค์ความรู้ทางกฎหมาย เนื่องจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏตามรายงานการสอบสวน/ไต่สวน ซึ่งองค์กรผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์หรือศาลปกครอง จะนำมาเป็นหลักในการแสวงหาความจริง ก็มีความสมบูรณ์ในระดับหนึ่งแล้ว ทางหน่วยงานจึงนำไปใช้ลงมติชี้มูลความผิดหรือออกคำสั่งลงโทษกับท่านได้

2. อย่ายื่นอุทธรณ์ฯ หรือฟ้องคดีปกครอง โดยไม่มีรายงานสอบสวน/ไต่สวน เพราะมันจะเหมือนการเล่มเกมส์ปิดตาตีหม้อ ไม่รู้ว่าท่านจะเขียนคำอุทธรณ์ฯ หรือคำฟ้องฯ ได้ตรงประเด็นที่ผู้สอบสวน/ไต่สวน นำมาวินิจฉัยความผิดหรือไม่ เว้นแต่ ผู้ถูกลงโทษที่คัดรายงานสอบสวน/ไต่สวนไม่ทัน ก็อาจนำกลุ่มข้อความที่ปรากฏในคำสั่งลงโทษกับบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเดิม มาเป็นกรอบในการทำคำอุทธรณ์ฯ หรือคำฟ้องฯ ไปพลางก่อน

อ.วินัย (แจ๊ค) ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า...

ความเห็น

3.ปกติแล้วก่อนการใช้สิทธิ์นำคดีไปฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ผู้สอบไม่ผ่านทุกคนจะต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษ ตามกระบวนการภายในของข้าราชการแต่ละประเภทก่อน ตามมาตรา 42 แห่ง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 เว้นแต่ผู้สอบไม่ผ่านจากการชี้มูลความผิดของ ปปช.ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่ให้สิทธิ์ผู้ถูกลงโทษสามารถเลือกนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองได้เลย หรือจะใช้สิทธิ์อุทธรณ์เฉพาะเรื่องดุลยพินิจในการกำหนดโทษ ตามขั้นตอนปกติก่อนก็ได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ถูกลงโทษจากการชี้มูลความผิดของ ปปช. นั้น ผู้เขียนขอเรียนด้วยความห่วงใยว่า....มันมิใช่ว่าเนื้อผ้าในรายงานไต่สวน จะเหมาะกับการไปยื่นฟ้องศาลปกครองทุกคน ดังนั้น การตัดสินใจเลือกระหว่าง “การอุทธรณ์เรื่องดุลยพินิจในการกำหนดโทษก่อน แล้วจึงไปฟ้องศาลปกครอง” กับ “การไปยื่นฟ้องศาลปกครองเลย โดยไม่อุทธรณ์เรื่องดุลยพินิจในการกำหนดโทษ” นั้น ท่านอย่าหลงเชื่อเพียงเพราะคำบอกเล่าที่ว่า “ผู้ถูกลงโทษสามารถยื่นคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งไล่ออก เพื่อขอคุ้มครองกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมชั่วคราว ได้พร้อมกับการยื่นคำฟ้องศาลปกครอง” เนื่องจากมันเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว

เพราะถึงแม้ท่านจะมีสิทธิ์ยื่นคำฟ้องฯ และคำขอทุเลาฯ ได้พร้อมกันก็ตาม แต่การสั่งคุ้มครองให้กลับเข้าทำงานชั่วคราว ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาในคดี มันมิใช่เรื่องง่าย นอกจากท่านจะต้องเขียนบรรยายเหตุผลและจัดเตรียมพยานหลักฐานให้ถูกต้องและครบถ้วนตามเงื่อนไขการสั่งคุ้มครองทั้งสามประการแล้ว ยังเป็นเรื่องดุลยพินิจศาลในแต่ละแห่งอีกด้วย

นอกจากนี้ การที่ศาลฯ จะมีคำสั่งว่าจะคุ้มครองท่านหรือไม่นั้น ศาลก็ต้องใช้ระยะเวลาในการแสวงหาข้อเท็จจริงต่างๆ ก่อน ซึ่งลูกค้าของเว็บวินัย รายที่ ศาลฯ ท่านสั่งคุ้มครอง ก็ต้องรอประมาณ 2 – 3 เดือนจึงจะรู้ผล ส่วนรายที่ศาลไม่สั่งคุ้มครอง ก็รอประมาณ 1 เดือนหรือหนึ่งเดือนครึ่งจึงจะรู้ผล ฉะนั้น ตามกลไกการบริหารงานบุคคลปกติ จึงมักปรากฏกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดมีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รายใหม่ เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมของผู้ถูกลงโทษไปแล้วครับ

ดังนั้น ท่านควรใช้เนื้อผ้าในรายงานไต่สวน เป็นเครื่องตัดสินใจให้รอบคอบว่าจะอุทธรณ์ก่อนแล้วจึงไปฟ้องศาลปกครอง หรือจะไปฟ้องศาลปกครองเลย โดยไม่ยื่นอุทธรณ์ฯ อย่าให้ความรู้สึกผูกพันกับตำแหน่งหน้าที่การงาน มาบดบังใจจนมองข้ามข้อดีของการอุทธรณ์เรื่องดุลยพินิจในการกำหนดโทษไปเสียทั้งหมด เพราะบางครั้งการเลือกเดินทางอ้อม ไปอุทธรณ์เรื่องดุลยพินิจในการกำหนดโทษกับคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ ซึ่งรู้ถึงวัฒนธรรมองค์กรและใกล้ชิดกับปัญหาของข้าราชการแต่ละประเภทก่อน ก็อาจทำให้ผู้ถูกลงโทษไล่ออก ที่มีอายุราชการมากๆ หรือเคยทำคุณความดีระหว่างรับราชการมากมาย ได้รับความเมตตามีสิ่งดีๆ ติดไม้ติดมือกลับมาบ้างครับ

อ.วินัย (แจ๊ค) ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า...



หมายเหตุ

1.การยื่นอุทธรณ์ฯ มีข้อดีที่สำคัญคือ หากคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ มีคำวินิจฉัยให้ลดหย่อนโทษ จากโทษไล่ออกเป็นปลดออก หรือจากโทษไล่ออกเป็นโทษใดๆ ในระดับวินัยไม่ร้ายแรง หรือสั่งยกเลิกคำสั่งลงโทษ ตัวผู้ถูกลงโทษสามารถกลับเข้าไปทำงานหรือรับบำเหน็จบำนาญตามสิทธิ์ได้ทันที โดยผู้สั่งลงโทษต้องปฏิบัติตามและไม่อาจยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยดังกล่าวได้ ซึ่งต่างจากการฟ้องคดีปกครอง ที่แม้ว่าศาลปกครองชั้นต้นจะพิพากษาให้ผู้ถูกลงโทษเป็นฝ่ายชนะคดี โดยสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออก/ปลดออกแล้วก็ตาม แต่ถ้าหากคู่กรณีในคดี เช่น ผู้สั่งลงโทษ ผู้ไต่สวน ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ตัวผู้ถูกลงโทษก็ไม่อาจกลับเข้าไปทำงานหรือรับบำเหน็จบำนาญได้จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดให้ท่านเป็นฝ่ายชนะคดีแล้วเท่านั้น

2. สำหรับผู้ถูกลงโทษที่เป็น ขรก.พลเรือน หากท่านได้รับทราบผลอุทธรณ์ฯ แล้ว ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ท่านสามารถนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องไปเริ่มต้นฟ้องคดีที่ศาลปกครองชั้นต้น ทั้งนี้ ตามมาตรา 116 แห่ง พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551

3.การยื่นอุทธรณ์ฯ มีข้อควรระวังที่สำคัญ คือ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ์แล้ว หากท่านยังไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ฯ จะเกิดสิทธิ์ให้ท่านนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น ใน 2 ลักษณะ ดังนี้

1.ฟ้องผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ เพื่อให้พิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จ ภายใน XX วัน

2.ฟ้องผู้สั่งลงโทษ เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษ

สิ่งสำคัญคือผู้ถูกลงโทษจะต้องใช้สิทธิ์ดังกล่าว ภายใน 90 วันนับแต่วันที่พ้นกำหนดระยะการพิจารณาอุทธรณ์ หากพ้นกำหนด 90 วันนี้แล้ว สิทธิ์ในการนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองในช่วงแรกจะระงับสิ้นไป และจะเกิดสิทธิ์ขึ้นใหม่ต่อเมื่อท่านได้รับแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์แล้วเท่านั้น (เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ถูกลงโทษทุกคนจะต้องระวังให้มาก เพราะมีผู้ปรึกษาคดีหลายรายที่พลาด อดทนรอคอยผลอุทธรณ์ด้วยความสงบมานานกว่า 3-4 ปี แต่ก็ยังไม่มีวันรู้จบ ครั้นปัจจุบัน ตัดสินใจจะนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองให้รู้แล้วรู้รอด ก็หมดสิทธิ์นำคดีไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพราะเกินระยะ 90 วันหลังพ้นกำหนดระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ์แล้ว จึงได้แต่ปลอบใจและให้อดทนรอผลอุทธรณ์ที่ไม่มีวันรู้จบต่อไป เพราะเป็นเรื่องข้อกฎหมายที่ผู้เขียนหรือใครๆ ก็ช่วยแก้ไขไม่ได้เลย)


อ.วินัย (แจ๊ค) ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า...



4 ให้ท่านรีบขอคัดถ่ายสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถูกลงโทษทั้งหมดจากที่ทำงานมาเก็บไว้สำหรับการอ้างอิงในต่อสู้คดีต่างๆ รวมทั้ง ให้นำไปถ่ายสำเนาเก็บสำรองไว้ประมาณ 4-5 ชุด สำหรับใช้ต่อสู้คดีหรือใช้ปรึกษาคดีกับบุคคลต่างๆ และถ้าเป็นไปได้ให้ท่านรีบนำเอกสารเหล่านั้น ไปพบนักกฎหมายประจำตัวเพื่อวางแผนการจัดเตรียมพยานหลักฐานสำหรับการยื่นอุทธรณ์ฯ หรือการฟ้องคดีปกครอง รวมทั้ง การขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งไล่ออก/ปลดออกต่อไป

ทั้งนี้ อย่าวางใจมอบสำเนาเอกสารที่ท่านมีเพียงชุดเดียวกับใครผู้รับปรึกษาคดีรายใดเป็นอันขาด และให้ระวังเรื่องการถูกดองหรือกักเก็บเอกสารไว้เนิ่นนานจนท่านไปปรึกษาคดีกับผู้รับรายอื่นไม่ได้ รวมทั้งให้ระวังเรื่องทำงานจ้างล่าช้า หรือไม่ยอมทำงานจ้าง ขอผัดผ่อนเวลาส่งงานใกล้ๆ วันสุดท้าย จนท่านไม่มีโอกาสตรวจทานหรือแก้ไขงานเลย

อนึ่ง ผู้ถูกลงโทษบางท่าน อาจนึกภาพไม่ออกว่าพยานเอกสารมีความสำคัญต่อการสู้คดีหลังถูกลงโทษอย่างไร ผู้เขียนในฐานะที่ปรึกษากฎหมายจะขอเล่าประสบการณ์ที่เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาอุทธรณ์ฯ และกระบวนการพิจารณาคดีของศาลปกครองและศาลอาญา เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นภาพสำคัญของพยานเอกสาร ดังนี้

4.1 กระบวนการพิจารณาอุทธรณ์ ส่วนใหญ่ผู้ถูกลงโทษ จะได้ไปยื่นเอกสารที่หน่วยรับเรื่องอุทธรณ์ ประมาณ 1-2 ครั้ง คือ วันยื่นคำอุทธรณ์ และวันยื่นคำคัดค้านคำแก้อุทธรณ์ (หากมี) ส่วนผลอุทธรณ์ก็จะมีการแจ้งให้ผู้ถูกลงโทษทราบทางไปรษณีย์ ดังนั้น ท่านจึงแทบจะไม่มีโอกาสพูดชี้แจงเรื่องราวกับผู้ใดเลย ถ้าไม่แสดงความประสงค์ใช้สิทธิ์ขอเข้าแถลงด้วยวาจากับคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์
ส่วนใหญ่ กระบวนการวินิจฉัยอุทธรณ์ มักจะเน้นการพิจารณาจากกลุ่มข้อความในคำอุทธรณ์ และคำแก้อุทธรณ์ รวมทั้ง พยานเอกสารต่างๆ ที่ผู้ถูกลงโทษและผู้สั่งลงโทษโต้ตอบกัน ดังนั้น ท่านจึงต้องพยายามเขียนเนื้อหาอุทธรณ์ฯ ให้ละเอียด – สั้น - กระชับ -ได้ใจความตามองค์ประกอบความผิดในข้อกฎหมาย รวมทั้ง ต้องจัดเตรียมพยานเอกสารต่างๆ ที่จะใช้สนับสนุนข้ออ้างหรือข้อพิสูจน์ตามเนื้อหาที่ท่านเขียนอุทธรณ์ฯ หรือเขียนขอลดหย่อนโทษด้วย

อ.วินัย (แจ๊ค) ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า...

ความเห็น

4.2 กระบวนการพิจารณาคดีปกครอง ก็จะคล้ายกับกระบวนการพิจารณาอุทธรณ์ คือส่วนใหญ่ผู้ถูกลงโทษ จะได้ไปที่ศาลปกครองชั้นต้นเพื่อยื่นเอกสาร ประมาณ 2 ครั้ง คือ วันยื่นคำฟ้อง วันยื่นคำคัดค้านคำให้การ (หากมี) และที่ศาลปกครองสูงสุด(ผ่านศาลปกครองชั้นต้น) อีกประมาณ 1-2 ครั้ง โดยท่านแทบจะไม่มีโอกาสพูดชี้แจงเรื่องราวกับผู้ใด หากศาลไม่เรียกตัวท่านไปไต่สวน หรือท่านไม่แสดงความประสงค์ขอใช้สิทธิ์เข้าแถลงปิดคดีด้วยวาจา

ส่วนใหญ่แล้ว กระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงและการพิจารณาคดีของศาลก็จะเน้นพิจารณาจากกลุ่มข้อความและพยานเอกสารในคำฟ้อง และคำให้การที่ผู้ถูกลงโทษ และผู้สั่งลงโทษ หรือผู้ร้องสอดที่เขียนโต้ตอบกัน ดังนั้น หลักสำคัญของการฟ้องคดีปกครองคือการเขียนคำฟ้อง ให้ละเอียด – สั้น - กระชับ -ได้ใจความตามหลักการรับฟังพยานหลักฐาน และหลักองค์ประกอบความผิดในข้อกฎหมาย รวมทั้ง ต้องจัดเตรียมพยานเอกสารต่างๆ ที่จะใช้สนับสนุนข้ออ้างหรือข้อพิสูจน์ตามคำฟ้อง หรือคำคัดค้านคำให้การให้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุด เนื่องคำฟ้องและเอกสารประกอบคำฟ้องที่ท่านยื่นต่อศาลปกครองชั้นต้นนี้ จะมีผลต่อเนื่องไปถึงกระบวนการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ท่านเป็นฝ่ายชนะคดีแต่ผู้สั่งลงโทษต้องการยื่นอุทธรณ์ หรือท่านเป็นฝ่ายแพ้คดีและต้องการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดครับ

อ.วินัย (แจ๊ค) ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า...

ความเห็น

4.3 กระบวนการพิจารณาคดีอาญาทุจริต (กรณีมีการชี้มูลความผิดทางอาญา) ส่วนใหญ่ผู้ถูกลงโทษ (จำเลย) จะได้ไปศาลประมาณ 5 -10 ครั้ง ตามแต่ว่าจะเลือกรับสารภาพหรือต่อสู้คดี รวมทั้งจำนวนจำเลยและพยานบุคคลที่ศาลอนุญาตให้สืบพยาน โดยกระบวนการพิจารณาคดีทุจริตนั้น นอกจากจะพิจารณาจากกลุ่มข้อความและพยานเอกสารในคำฟ้องและคำให้การที่โจทก์และจำเลย โต้ตอบกันแล้ว ยังพิจารณาจากทั้งบันทึกถ้อยคำพยาน และคำเบิกความของพยานโจทก์/จำเลยในศาลอีกด้วย ดังนั้น ในวันสืบพยาน บรรดาจำเลยที่อ้างตนเป็นพยานจึงมักได้มีโอกาสพูดเบิกความถึงข้อเท็จจริงต่างๆ ตามประเด็นที่จะถูกซักถามในศาลประมาณคนละ 10 - 20 นาที (เว้นแต่คดีที่มีเนื้อหาซับซ้อน อาจใช้เวลามากกว่านี้)

อย่างไรก็ตาม ในหน้างานจริง จำเลยบางคนก็อาจประหม่ากับพิธีการทางศาล จึงเล่าเรื่องอย่างตกๆ หล่นๆ หรือบางครั้งไม่ถูกถามในประเด็นที่อยากเล่า ก็อาจพลาดโอกาสเล่าข้อเท็จจริงที่เป็นผลดีของตนให้ศาลทราบ ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาการเล่าเรื่องอย่างตกๆ หล่นๆ ผู้ถูกลงโทษ (จำเลย) จึงควรร่วมมือกับนักกฎหมายจัดทำคำให้การแก้คำฟ้องอย่างละเอียดตามรูปคดีที่วางไว้ รวมทั้ง ต้องจัดเตรียมพยานเอกสารต่างๆ ที่จะใช้สนับสนุนข้ออ้างหรือข้อพิสูจน์ตามคำให้การให้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะบรรดาข้อเท็จจริงจากทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยที่ปรากฏในกระบวนการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จะมีผลต่อเนื่องไปถึงการต่อการสู้คดีของท่าน ทั้งในศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา (กรณีผู้ถูกลงโทษ (จำเลย) ได้รับอนุญาตให้ฎีกา) ครับ

หมายเหตุ ในการหาพยานเอกสารต่างๆ นั้น หากท่านประสบปัญหาในการหาพยานเอกสารจากที่ทำงานเก่า ท่านอาจเลียนแบบเคสน้องธุรการรายหนึ่ง ซึ่งอยากได้เอกสารอะไรมาประกอบคำอุทธรณ์หรือคำฟ้องคดีปกครอง เพื่อนที่ยังทำงานอยู่ในที่ทำงานเก่าช่วยบริการหาให้หมด จนผู้เขียนต้องถามด้วยความสงสัยว่าทำไมหาเอกสารได้ง่ายจัง ทั้งที่เอกสารบางอย่างต้องรื้อต้องค้นย้อนหลัง 5-6 ปี ฝ่ายน้องธุรการจึงเฉลยให้ฟังว่า เพื่อนในที่ทำงานเก่า มันค้ำเงินกู้สหกรณ์ของหนูอยู่ค่ะ มันกลัวหนูแพ้คดีและต้องจ่ายหนี้สหกรณ์ฯ แทนหนู มันจึงอาสาช่วยหนูหาเอกสารทุกอย่างเพื่อไปต่อสู้คดีค่ะ ฟังจบผู้เขียนก็บางอ้อหากถ้าใครประสบปัญหาแบบเดียวกับน้องธุรการรายนี้ ก็รีบไปหาเพื่อนค้ำนะครับ ผู้เขียนเชื่อว่าท่านคงได้รับเอกสารทุกอย่างตามความประสงค์อย่างแน่นอน