Ads block

Banner 728x90px

การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย


การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย คืออะไร

ก่อนการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย หรือการเขียนข้อความใดๆ ลงในหนังสือ “อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย” ขอให้ผู้อุทธรณ์ทุกท่าน หายใจเข้าลึกๆ  และถอนหายใจออกมายาวๆ  เมื่อจะเริ่มลงมือเขียน “อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย”

สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมะ หรือการทำสมาธิก่อนการเขียน “อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย” แต่การหายใจเข้าลึกๆ และถอนหายใจออกมายาวๆ มันจะทำให้เราใจเย็นขึ้น สงบขึ้น รวมทั้งสามารถมองเห็นปัญหาในการ “อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย” ได้ชัดเจนขึ้น และที่สำคัญการหายใจนั้น  มันทำให้เรารู้ว่า เรายังไม่ตายไปพร้อมกับคำสั่งลงโทษ


มื่อชีวิตยังต้องเดินต่อ ชีวิตก็ต้องมีความหวัง แน่นอนว่าการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย คือความหวังของผู้ถูกลงโทษ แต่ถ้าความหวังนั้น เป็นความหวังที่ไม่เริ่มลงมือทำหรือต่อสู้ไม่ถูกจุด วางแผนการอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง มันก็คือความหวังแบบลมๆแล้งๆ กับการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ดังนั้น ก่อนที่จะลงมือเขียนอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ผู้อุทธรณ์จึงควรทราบก่อนว่าการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยคืออะไร รูปแบบของการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยมีอย่างไร รวมทั้ง หลักการเขียนอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย เป็นเช่นไร ดังนี้

“อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย” คือ การร้องขอความเป็นธรรมจากกรณีที่ถูกลงโทษทางวินัย เพื่อให้ผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ทำการ พิจารณาหรือทบทวนการลงโทษนั้นใหม่ โดยการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยนี้ ฝ่ายผู้อุทธรณ์ฯ จะต้องทำเป็นหนังสือ เพื่อยื่นต่อผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบ หรือถือว่าทราบคำสั่งลงโทษ


รูปแบบการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย

การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยนั้น ส่วนใหญ่รูปแบบการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยพนักงานราชการ ครู ข้าราชการท้องถิ่น อบจ เทศบาล อบต มักจะมีรูปแบบการอุทธรณ์ฯ ที่คล้ายกับของข้าราชการพลเรือน ดังนั้น รูปแบบการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยที่เว็บฯ จะกล่าวในที่นี้ จึงเป็นการอ้างอิงและมีความเห็นตามหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยของข้าราชการพลเรือน ตามข้อ 27 แห่งกฎ ก.พ.ค.ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ.2551 ซึ่งมีการกำหนดรูปแบบการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ว่าจะต้องทำเป็น “หนังสืออุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย” ส่งถึงประธาน ก.พ.ค. โดยใช้ถ้อยคำสุภาพ และต้องมีสาระสำคัญ ดังนี้
  1. ชื่อ ตำแหน่ง และสังกัดของผู้อุทธรณ์ รวมทั้งที่อยู่สำหรับใช้ติดต่อเกี่ยวกับเรื่องอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย
  2. คำสั่งที่เป็นสาเหตุแห่งการอุทธรณ์ และวันที่รับทราบคำสั่ง
  3. ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ที่ผู้อุทธรณ์ประสงค์ยกขึ้นเป็นข้อคัดค้านคำสั่งลงโทษ
  4. คำขอของผู้อุทธรณ์
  5.  ลายมือชื่อของผู้อุทธรณ์ในหนังสืออุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย
โดยส่วนที่สำคัญที่สุดของหนังสืออุทธรณ์คำสั่งลงโทษวินัยคือส่วนที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนเนื้อหาคดี ที่ผู้อุทธรณ์จะต้องให้เหตุผลโต้แย้งคำวินิจฉัยของผู้สอบสวน/ไต่สวน ที่ระบุว่าท่านเป็นผู้กระทำความผิด และอาจรวมถึงการให้เหตุผลโต้แย้งคำวินิจฉัยของ อ.ก.พ.กรม /กระทรวง ในกรณีที่ อ.ก.พ.เหล่านั้น มีความเห็นต่างจากผู้สอบสวน/ไต่สวน

  ทั้งนี้ การเขียนข้อโต้แย้งในหนังสืออุทธรณ์นั้น ผู้อุทธรณ์ต้องพยายามค้นหาข้อบกพร่องจากรายงานสอบสวน/ไต่สวน ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริง และปัญหาข้อกฎหมาย เพื่อนำไปเขียนเป็นข้อโต้แย้งฯ หรือข้อโน้มน้าว เสนอต่อคณะผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ เพื่อให้ผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ เห็นว่าคำสั่งลงโทษนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมายครับ  



การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ในปัญหาข้อเท็จจริง

เพราะประวัติศาสตร์มักจะถูกเขียนโดยผู้ชนะ ดังนั้น ร่องรอยการต่อสู้ บาดแผล และคราบน้ำตาของผู้แพ้ จึงอาจไม่มีการบันทึกไว้”  

จากประสบการณ์ในงานอุทธรณ์ฯ  ที่ผ่านมาเว็บวินัย พบว่าส่วนใหญ่แล้วเนื้อหาในรายงานสอบสวน มักมีแนวโน้มเช่นเดียวกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่มักปราศจากความดีของผู้ถูกลงโทษ

ดังนั้น หากในชั้นสอบสวน/ไต่สวน ผู้อุทธรณ์ฯ ไม่ได้วางแผนการเขียน “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” แบบจัดหนัก จัดเต็ม แยกเป็นรายประเด็น ทั้งพยานเอกสาร และพยานบุคคลเพื่อให้สำนวนการสอบสวน / ไต่สวนได้ปรากฏ "ร่องรอยการต่อสู้ (ข้อโต้แย้ง)" ของผู้อุทธรณ์ รวมทั้ง ผลการพิจารณาของผู้สอบสวนไต่สวน ต่อประเด็นข้อต่อสู้ (ข้อโต้แย้ง) ดังกล่าวในรายงานสอบสวน เพื่อให้ผู้อุทธรณ์ฯ ได้ใช้เป็นหัวเชื้อสำหรับการเขียนอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ในอนาคตแล้ว

การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ขาดการวางแผนมาตั้งแต่ชั้นสอบสวน / ไต่สวน ก็อาจไม่เป็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ให้กับผู้อุทธรณ์ฯ  เพราะการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ง่าย เหมาะสม และตรงประเด็นที่สุดก็คือการนำเอาข้อบกพร่องที่เกิดจากการรับฟังข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ตามที่ปรากฏในรายงานสอบสวน / ไต่สวน มาวิเคราะห์หาข้อโต้แย้ง และเขียนหักล้างคำวินิจฉัยผู้สอบสวน / ไต่สวน หรือ อกพ. ผู้สั่งลงโทษ ว่าไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นธรรมกับท่านอย่างไร

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้อุทธรณ์ฯ ที่ในรายงานสอบสวน / ไต่สวน ไม่ปรากฏร่องรอยการต่อสู้ ให้เป็นหัวเชื้อไว้เขียนข้ออุทธรณ์ฯ นั้น  วิธีการแก้ไขในชั้นอุทธรณ์นี้ ก็จะคล้ายการเขียนหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาใหม่ 

โดยให้ผู้อุทธรณ์ฯ แบ่งการเขียนคำอุทธรณ์ฯ  ออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 

  • ส่วนแรก เป็นการเขียนเนื้อหาโต้แย้งว่าท่านไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกลงโทษ โดยให้เขียนคำโต้แย้งตามประเด็นสำคัญที่ปรากฏในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา เฉพาะส่วนที่ผู้สอบสวน/ไต่สวนหยิบยกไปใช้ในการวินิจฉัยความผิด พร้อมแสดงพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้งว่าผู้อุทธรณ์ไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกลงโทษ เพื่อปูทางให้รูปคดี มีน้ำหนักเอนเอียงมาทางผู้อุทธรณ์บ้าง
  • ส่วนที่สอง เป็นการเขียนเนื้อหาโต้แย้งคำวินิจฉัยของผู้สอบสวน/ไต่สวน ตามที่ปรากฏในรายงานสอบสวน ว่ามีความบกพร่อง หรือไม่ถูกต้อง หรือไม่เป็นธรรมอย่างไร  
    แม้จะเป็นการยากที่คำอุทธรณ์ฯ ไม่กี่หน้ากระดาษ จะไปหักล้างเนื้อผ้าจำนวนหลายร้อยหน้าในสำนวนสอบสวน/ไต่สวนได้หมดก็ตาม แต่ท่านก็อย่ายอมแพ้ เพราะหากโชคดี พบข้อบกพร่องในรายงานสอบสวน/ไต่สวนที่สำคัญ และนำไปเขียนเป็นคำอุทธรณ์ฯ ให้ถูกจุด ก็อาจส่งผลให้ผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ ทำการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงนั้น ไปในทิศทางที่ดี หรือเป็นคุณ กับผู้อุทธรณ์ฯ ก็อาจเป็นได้ครับ

    แต่สิ่งที่เว็บวินัย เป็นห่วงสำหรับผู้อุทธรณ์ฯ มือใหม่ ก็คือการไล่เนื้อหาในสำนวนสอบสวน / ไต่สวนเพื่อหาข้อบกพร่องทางคดีเพราะมันเป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ ในการไล่ตรวจหาว่าสำนวนการสอบสวน / ไต่สวนนั้น มีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องใด เพื่อที่ท่านจักได้นำมาเขียนเป็นคำอุทธรณ์ให้ถูกจุด เพราะว่าการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยนั้น หากท่านโต้แย้งโดนจุดตายของสำนวนฯ ก็อาจมีผลให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษ แต่ถ้าโต้แย้งผิดจุด ก็อาจสร้างแค่แผลถลอก ซึ่งมีผลเป็นเพียงการแก้ไขข้อความในคำสั่งลงโทษ หรือถูกสั่งยกอุทธรณ์ โดยที่ผู้อุทธรณ์ฯ ยังต้องรับโทษตามเดิม 

    ดังนั้น เพื่อป้องกันการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ที่ไม่ถูกจุดสำคัญทางคดี ผู้อุทธรณ์ จึงควรไปปรึกษานักกฎหมายที่มีทักษะและประสบการณ์ในงานอุทธรณ์ฯ เพื่อพาท่านทะลุทะลวงสำนวนการสอบสวน / ไต่สวน ให้ถูกจุดสำคัญทางคดี เพราะว่าช่วงเวลา 30 วัน ของการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษฯ มันเป็นช่วงเวลาที่สั้น และวิกฤตเป็นอย่างยิ่ง การไปอยู่คนเดียวเพื่อหาตำราอ่าน ต่อสู้เองอาจไม่ทันการณ์ครับ


การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ในปัญหาข้อกฎหมาย

    การเขียนอุทธรณ์ฯ ในปัญหาข้อกฎหมาย ถือเป็นโจทย์ที่ง่ายที่สุดของการเขียนอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย   เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ผู้สอบสวน/ไต่สวน ได้รวบรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนนั้น  มันหยุดนิ่งและยุติลงแล้ว 
    ดังนั้น หากผู้อุทธรณ์ตรวจพบว่าในสำนวนการสอบสวน มีเรื่องที่ผู้สอบสวนปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหรือระเบียบฉบับใด ท่านสามารถใช้เขียนเป็นข้อโต้แย้งในปัญหาข้อกฎหมายได้เลยครับ เช่น ตัวอย่าง การเขียนอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย กรณีผู้อุทธรณ์ตรวจพบว่าบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาฯ ที่ผู้สอบสวนนำมาแจ้งแก่ผู้อุทธรณ์ ในชั้นสอบสวนได้ปรากฏข้อเท็จจริง ว่าทางผู้สอบสวนไม่สรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา หรือตรวจพบว่าประธานกรรมการไม่ได้ลงนามในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งนี้ ข้อความที่ขีดเส้นใต้ไว้ข้างต้น ก็คือข้อเท็จจริงที่หยุดนิ่ง และยุติลงแล้วตาม พยานเอกสาร ซึ่งคือ “บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา” 
    ส่วนวิธีการเขียนอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ก็ให้ท่านนำข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วข้างต้น ปรับกับข้อกฎหมาย ซึ่งในที่นี้คือ กฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย 2556 ข้อ 40 จากนั้นก็นำไปเขียนบรรยายเป็นข้อโต้แย้งในหนังสืออุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ตามตัวอย่างอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ท้ายนี้

    ".. ข้าฯ ขออุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย จากกรณีที่กระบวนการดำเนินการทางวินัย กับผู้อุทธรณ์ ในขั้นตอนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน ได้ปรากฏการกระทำที่ผิด กฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย 2556 ข้อ 40 เพราะผู้สอบสวนมิได้ทำการสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้อุทธรณ์ทราบ หรือ ประธานกรรมการสอบสวน ไม่ได้ลงนามในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ฯลฯ ดังนั้น การแจ้งข้อกล่าวหาในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการที่กฎหมายกำหนด และส่งผลให้คำสั่งกรม / กระทรวง ….. ที่สั่งลงโทษไล่ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการ โดยอาศัยผลการสอบสวนที่มิชอบด้วยหลักเกณฑ์การสอบสวนข้างต้น จึงมิชอบด้วยกฎหมายตามไปด้วย .."

พยานหลักฐานที่สนับสนุนการอุทธรณ์ฯ ประเด็นข้างต้น
    1.บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา (แบบ สว.3) ตามเอกสารหมายเลข..     
    2.กฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย 2556 ตามเอกสารหมายเลข.... 

    สำหรับผู้อุทธรณ์มือใหม่ เว็บวินัยขอแนะนำให้เขียนเฉพาะใจความสำคัญตามตัวอย่างอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยข้างต้นก็พอแล้ว เพราะอย่างไรเสีย ท่านก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ผู้สอบสวน ทำผิดกฎสอบสวนจริงๆ อีกทั้ง การเขียนข้อความโน้มน้าวในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ค่อนข้างยากจำเป็นต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ของนักกฎหมายช่วยชี้ช่องในการเขียนข้อความโน้มน้าวครับ

    ส่วนข้อห้ามสำคัญของการเขียนอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ก็คือผู้อุทธรณ์ไม่ควรเขียนความเห็นของตน ลงไปโต้เถียงกับข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วเหล่านั้น  เพราะอาจทำให้ผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์เข้าใจผิด และหลงคิดว่าท่านประสงค์จะอุทธรณ์ฯ  ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจส่งผลให้ผู้อุทธรณ์ตกอยู่ในสภาวะเสี่ยง เพราะต้องฝากโชคชะตาไว้กับดุลยพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ ทั้งที่ ปัญหาของผู้อุทธรณ์ อาจจบได้สวยด้วยการวินิจฉัยอุทธรณ์ฯ ในปัญหาข้อกฎหมายเพียงอย่างเดียว (ตัวอย่าง อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย)     

ข้อคิดก่อนจ้างเขียนอุทธรณ์ฯ

    เนื่องจากการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย  โดยเฉพาะการอุทธรณ์คำสั่งไล่ออกนั้น อาจเป็นการยื่นอุทธรณ์ขณะที่ผู้อุทธรณ์กำลังขาดสภาพคล่องทางการเงิน ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะทุ่มกำลังเงินไปกับการจ้างเขียนอุทธรณ์ฯ  ฝ่ายผู้อุทธรณ์ควรทำการสำรวจหาทิศทางคดีในชั้นอุทธรณ์ (อย่างง่าย ) ด้วยตนเอง โดยการขอคัดสำนวนสอบสวน/ไต่สวนมาแจกแจงหาพยานหลักฐานที่ใช้สนับสนุนการลงโทษว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยให้แยกเป็นทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคล 

จากนั้น ให้ท่านนำผลแจกแจงพยานหลักฐาน ที่ได้มาพิจารณาว่าพยานเหล่านั้น มีน้ำหนักเพียงพอแก่การรับฟังเพื่อลงโทษผู้อุทธรณ์หรือไม่ หรือเป็นการสั่งลงโทษ ทั้งที่ยังมีความขัดแย้งของพยานหลักฐาน  หรือผู้สั่งลงโทษรับฟังเฉพาะพยานหลักฐานที่เป็นผลร้ายกับผู้อุทธรณ์เพียงอย่างเดียว รายละเอียดเหล่านี้ มิใช่งานทางเทคนิคกฎหมาย ตัวผู้อุทธรณ์สามารถเก็บข้อมูลจากสำนวนคดีได้โดยตรง ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจว่าจ้างนักกฎหมายเพื่อให้เขียนคำอุทธรณ์ และที่สำคัญก็คือ ท่านไม่ควรตัดสินใจจ้างเขียนคำอุทธรณ์ด้วยเหตุผลทางอารมณ์  เพราะท่านอาจจะต้องเสียทั้งเงิน ทั้งอารมณ์ในภายหลัง




tips: การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย
      ทุกการแข่งขัน....ย่อมมีผู้แพ้และผู้ชนะ ในกระบวนการทางวินัยก็เดียวเช่นกัน เว็บฯ ดีใจกับกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาที่ได้พยายามต่อสู้และชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เพื่อพิสูจน์ตนเองจนกลายเป็นผู้ชนะ และขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ถูกกล่าวหาที่ผิดหวัง  ต้องมาต่อสู้ต่อ ในฐานะผู้อุทธรณ์

เว็บวินัยฯ ใคร่ขอเรียนว่าแม้ช่วงเวลา 30 วันแห่งการใช้สิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย  ผู้อุทธรณ์จะรู้สึก
เหมือนฟ้าผ่าลงมา กลางใจ ยังรู้สึกผิดหวังและมึนงง จากการถูกลงโทษ แต่ท่านอย่าลืมว่า ชีวิตท่านไม่ได้ล่มสลายตามคำสั่งลงโทษ ผู้อุทธรณ์ยังมีชีวิตอยู่ และยังมีครอบครัว รวมทั้งยังต้องใช้ชีวิตในโลกแห่งทุนนิยมที่ต้องซื้อกินซื้อใช้ ท่านจึงต้องรู้จักปล่อยวางปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องศึกนอกและศึกในให้เป็น เพื่อเอาเวลาไปสู้กับศึกเฉพาะหน้า เช่นเรื่องอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยนี้ 

สิ่งสำคัญคือ ท่านจะต้องวางแผนการเขียนคำอุทธรณ์ฯ ให้ถูกจุด และเหมาะสมกับรูปเรื่องที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน/ไต่สวน เพราะการยื่นอุทธรณ์ที่ขัดแย้งกับรูปเรื่องที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวนนั้น ในทางเทคนิคกฏหมายสามารถทำได้ เพียงแต่จะสิ้นเปลืองทั้งทุนทรัพย์  และกำลังของผู้อุทธรณ์มากมายมหาศาล ในการติดตามพยานและนำเสนอข้อเท็จจริงที่อยู่นอกสำนวนการสอบสวน รวมทั้ง ท่านยังจะต้องคำนึงถึงผลของการอุทธรณ์ฯ ด้วยว่า บางกรณีคำอุทธรณ์ฯ จะถูกบังคับตามลำดับศักดิ์ของกฎหมายที่ใช้ในการสอบสวน/ไต่สวน โดยหากลำดับศักดิ์ของกฎหมายที่ใช้ในการวินิจฉัยอุทธรณ์ต่ำกว่าลำดับศักดิ์ของกฎหมายที่ใช้สอบสวน / ไต่สวน จะส่งผลให้คำอุทธรณ์ฉบับนั้น สามารถอุทธรณ์ฯ ได้เพียงดุลยพินิจในการกำหนดโทษ โดยที่องค์กรผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงฐานความผิดใดๆได้  รวมทั้ง บางกรณีก็มีมติ ครม.กำหนดให้ลงโทษในสถานหนัก ผู้อุทธรณ์ไม่อาจอ้างเหตุใดๆ เพื่อขอลดหย่อนโทษได้

ดังนั้น ก่อนการยื่นเรื่องอุทธรณ์ฯ ท่านจึงต้องวางเนื้อหาการเขียนอุทธรณ์ฯ และการเขียนคำขอท้ายอุทธรณ์ฯให้ถูกจุด ถูกประเด็น การคิดบวกสำหรับอนาคตจึงเป็นเรื่องสำคัญในการเขียนอุทธรณ์ฯ และที่สำคัญ อย่าให้คลื่นความผิดหวังมาบดบังใจ ไม่ให้เห็นทางออกในการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยครับ