Ads block

Banner 728x90px

การชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา


การชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คืออะไร

เชื่อไหม กฏสอบสวนไม่ได้ระบุวิธีการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาหรือรูปแบบการชี้แจงข้อกล่าวหา ให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบ 

หรือเป็นเพราะมายาคติในการสอบสวนที่หวังว่าผู้สอบสวน/ไต่สวน จะทำหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งที่เป็นคุณและโทษให้กับตัวผู้ถูกกล่าวหา มากกว่าการรวบรวมพยานหลักฐานเฉพาะที่จะเอาความผิด 

    คำว่า “ชี้แจงข้อกล่าวหา” หรือ “ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” เป็นคำสามัญที่มีความหมายตรงตัวว่าเป็นการอธิบายเพื่อโต้แย้งข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ผู้สอบสวน/ไต่สวน กล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหา กระทำผิด ซึ่งในกระบวนการสอบสวน/ไต่สวน ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา สามารถเลือกการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้ 2 วิธี ดังนี้

  • การเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
  • การให้ถ้อยคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา 

วิธีการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

ส่วนใหญ่ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ฝ่ายผู้สอบสวน/ไต่สวน มักกำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหาทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหามากกว่า การเรียกเข้าพบเพื่อให้ถ้อยคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา อาจเป็นเพราะมันง่าย และไม่ต้องมาสอบสวนไล่จี้ถามกันตามองค์ประกอบความผิด จนเกิดเป็นความโกรธเคือง หรือความสงสารที่มีต่อผู้ถูกกล่าวหา รวมทั้ง มักจะกำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหาทำการชี้แจงข้อกล่าวหา  ด้วยการส่งหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ต่อผู้สอบสวนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาฯ ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่น้อยมาก สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่งานประจำก็ต้องไปทำ ข้อกล่าวหาก็ต้องมานั่งแก้ 

แต่ก่อนที่ เว็บวินัยฯจะกล่าวถึงวิธีการชี้แจงข้อกล่าวหา เว็บใคร่ขอเรียนให้ท่านทราบเพื่อเป็นพื้นฐานของการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาก่อนว่า บรรดา “ข้อกล่าวหา” ที่ผู้สอบสวน/ไต่สวน นำมาแจ้งต่อท่าน ล้วนแต่มีบ่อเกิดและที่มาจาก

  • ข้อเท็จจริง
  • ข้อกฏหมาย
  • พยานหลักฐาน
ดังนั้น ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ไม่ว่าท่านจะทำในรูปแบบใด ท่านควรทำการถอดรหัส แบ่งข้อกล่าวหาออกเป็น 3 ส่วนก่อนทุกครั้ง


การถอดรหัส ! ข้อกล่าวหา

"ข้อกล่าวหา" นั้น เมื่อรับมาจากผู้สอบสวน / ไต่สวนแล้ว มันก็เปรียบเสมือนระเบิดเวลา หากท่านไม่ส่งคำชี้แจงข้อกล่าวหาภายในกำหนด เพราะกฎสอบสวนให้ถือเสมือนว่าผู้ถูกกล่าวหา ไม่ประสงค์จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ดังนั้น เพื่อให้การชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ สามารถดำเนินการได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาจึงควรทำการถอดรหัส ! ข้อกล่าวหาจากข้อความใน “บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา” เพื่อหากลุ่มข้อความที่แสดงถึงความสัมพันธ์ตามหลักองค์ประกอบความผิด และพยานหลักฐานต่างๆ ที่ถูกใช้ในการเชื่อมโยงความผิด ดังนี้
  1. กลุ่มข้อความในส่วนที่เป็น  “ข้อเท็จจริง” ส่วนใหญ่มักจะเขียนบรรยายว่า ผู้ถูกกล่าวหา กระทำการใด เรื่องใด ในเอกสารใด และฝ่ายผู้สอบสวน/ไต่สวน ได้ตรวจพบ “ข้อเท็จจริง” อันแสดงถึงความเท็จ หรือความผิดของท่านอย่างไร
  2. กลุ่มข้อความ ที่เขียนกล่าวหาว่าท่านกระทำความผิดตาม “ข้อกฎหมาย”หรือ“ระเบียบ” ใด รวมทั้ง เป็นความผิดทางวินัยหรือทางอาญาในกรณีใด ฐานความผิดใด
  3. กลุ่มข้อความที่กล่าวถึง “ พยานหลักฐาน ” ที่ผู้สอบสวน/ไต่สวน ใช้สนับสนุนการแจ้งข้อกล่าวหา 
ทั้งนี้ ในการสอบวินัย ตามคำสั่งสอบของหน่วยงานต้นสังกัด ผู้ถูกกล่าวหาจะพบเห็นพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาได้ง่าย เพราะ กฏระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน ได้กำหนดให้ผู้สอบสวนต้องแสดงรายการพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา แยกออกจากตัวข้อกล่าวหา แต่หากเป็นการสอบสวนตามคำสั่งของหน่วยงานภายนอก ที่มิได้มีกฏระเบียบบังคับให้ผู้สอบสวนต้องแสดงรายการพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา แยกออกจากตัวข้อกล่าวหา ท่านอาจจะพบเห็นพยานหลักฐานเหล่านั้นได้ยาก จำต้องอาศัยการสังเกตจากข้อความใน “บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา” ว่าจะกล่าวถึงพยานบุคคลหรือพยานเอกสารใดบ้าง และหากเป็นการกล่าวถึงพยานเอกสารรายการใด ท่านต้องตามตรวจสอบว่าพยานเอกสารนั้น มีการอ้างถึงเอกสารแนบประกอบอะไรบ้าง และเอกสารแนบประกอบเหล่านั้น มีลายเซ็นต์หรือความเกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่ อย่างไร 

    อีกทั้ง หากเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาตาม พรบ.ฮั้ว (พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ) ร่วมกับฐานความผิดทางวินัยและอาญาอื่นๆ ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาจะต้องสังเกตการเขียนบรรยายข้อกล่าวหา ว่ามีการระบุว่าผู้ถูกกล่าวหา ได้รู้หรือควรรู้ว่าการเสนอราคาครั้งนั้น มีการแข่งขันราคาที่ไม่เป็นธรรมอย่างไร ซึ่งถือเป็นความยุ่งยากของการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาประเภทนี้ ที่ท่านต้องยึดหลัก "ค้นให้ลึก คิดให้กว้าง" 

จากนั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้ข้อมูลอันเป็นส่วนประกอบของ “ข้อกล่าวหา” ทั้งสามส่วนแล้ว สำหรับท่านมือใหม่  ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับระบบการสอบสวน/ไต่สวน หรือผู้ที่อาศัยช่วงเวลาสั้นๆหลังเลิกงานมาเขียนหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ก็ให้นำข้อมูลดังกล่าวมาเขียนเป็นโครงร่างแนวคิดการจัดทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาในรูปแบบมายแมพ (mimd map) เพื่อใช้เป็นแผนที่ในการสืบหาข้อเท็จจริง และตามหาพยานหลักฐานที่ต้องใช้ในการแก้ข้อกล่าวหา โดยเบื้องต้นให้ท่านตั้งเป้าไปที่ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการเขียนแก้ข้อกล่าวหาโดยตรงก่อน ส่วนเอกสารหลักฐานลำดับรอง เช่น เอกสารคุณความดีต่างๆ ให้ทำการรวบรวมภายหลังเมื่อมีเวลาเหลือ เพราะสิ่งเหล่านี้ คือเหตุลดหย่อนโทษ มิใช่เอกสารสนับสนุนการแก้ข้อกล่าวหา ส่วนท่านมือเก่าก็ให้เลือกเก็บข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานตามหลักองค์ประกอบความผิดได้เลยครับ


การสืบหาพยานหลักฐานเพื่อการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาอาจเลือกสืบหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานได้จากหลายแหล่ง ตัวอย่างเช่น จากเพื่อนร่วมงานหรือผู้เกี่ยวข้องตามสายการบังคับบัญชา หรือจากหนังสือโต้ตอบระหว่างหน่วยงาน หรือเอกสารโต้ตอบระหว่างท่านกับผู้บังคับบัญชา หรือจากรายงานขอซื้อขอจ้างที่เกี่่ยวข้อง เป็นต้น 

สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ภาพความทรงจำของผู้ถูกกล่าวหาที่เคยจางๆ กลับมาเด่นชัดขึ้น ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ท่านได้ข้อเท็จจริงที่แม่นยำของเรื่องราวในวันวาน มาประกอบการเขียนชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แต่ถ้าเป็นการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา จากการแจ้งข้อกล่าวหา แบบกลุ่มใหญ่หลายคน เช่น
  1. เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาตามรายชื่อเจ้าหน้าที่ในเอกสารจัดซื้อหรือจัดจ้าง 
  2. เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาตามรายชื่อเจ้าหน้าที่ในบันทึกจับกุมฯ โดยไม่สนว่าใครจะเป็นพระเอก พระรอง ตัวโกง หรือตัวประกอบ 
หากเกิดเรื่องทำนองนี้ ก่อนที่ท่านจะทำการสืบหาข้อเท็จจริงตามวิธีการข้างต้น ขอเรียนว่าบรรดากลุ่มผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ควรหาโอกาสมานั่งคุยกันอย่างจริงๆจังๆ ว่าตกลงเรื่องจริงเป็นอย่างไร สถานการณ์รวมๆเป็นแบบใด แม้กรณีที่ยังสงสัยว่าหากข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะรอดไหมจะไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆก็คือการคิดเป็นกลุ่ม เก็บข้อเท็จจริงจากคนทั้งกลุ่ม ก็อาจมีโอกาสรอดมากกว่าการคิดคนเดียว เก็บข้อเท็จจริงคนเดียวครับ
จากนั้นเมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาเท่าใด ก็ให้ท่านดำเนินการปรับแก้โครงร่างมายแมพ (Mimd Map) ไปตามนั้น กระทั่งได้ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่ยุติ ตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ของท่านแล้ว จึงค่อยนำข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเหล่านั้น  ไปเปรียบเทียบกับข้อกฎหมาย หรือระเบียบต่างๆ ที่ผู้สอบสวน / ไต่สวน กล่าวหาว่าท่านกระทำผิด เพื่อหาข้อได้เปรียบ และข้อเสียเปรียบทางคดี  และสุดท้ายก็ให้ท่านนำผลการเปรียบเทียบที่ได้ ไปสู่ขั้นตอนการตัดสินใจที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือ ... 

การตัดสินใจว่าจะตั้งรูปเรื่องต่อสู้ และวางแนวทางคดีอย่างไร 

     ซึ่งทางเลือกนั้น มีหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น
  • ทำการต่อสู้ เพื่อยืนยันเจตนาบริสุทธิ์ของตน 
  • ทำการต่อสู้ เฉพาะประเด็นความเสียหาย เพื่อหวังการลงโทษสถานเบา 
  • ให้คำรับสารภาพ เพื่อหวังเหตุลดหย่อนโทษ  หรือ 
  • "เราจะรบเคียงไหล่ เราจะตายเคียงกัน" 



ทั้งนี้ การจะตัดสินใจว่าจะวางรูปเรื่องต่อสู้คดีอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหาแต่ละท่านเข้าไปเกี่ยวข้อง และเมื่อท่านตัดสินใจว่าจะวางรูปเรื่องต่อสู้คดีได้แล้ว ก็ให้ดำเนินการปรับแก้โครงร่างมายแมพ (Mimd Map) ไปตามนั้น รวมทั้ง ให้นำข้อมูลและพยานหลักฐานทั้งหมด ไปดำเนินการเขียนแก้ข้อกล่าวหา ต่อไป

ข้อระวังในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา 

สำหรับข้อกล่าวหาประเภทร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลต่างๆ เช่น
  • กลุ่มผู้บริหาร ผู้อนุมัติ/อนุญาต
  • กลุ่มผู้บังคับบัญชา ที่ลงนามผ่านเรื่อง
  • กลุ่มผู้ปฏิบัติ เจ้าของเรื่อง
  • กลุ่มคณะกรรมการทางพัสดุ
กลุ่มบุคคลเหล่านี้ ล้วนแต่มีอำนาจหน้าที่และพฤติการณ์ทางคดีต่างกัน ดังนั้น การตั้งรูปเรื่องต่อสู้ และการวางแนวทางคดี ย่อมจะมีความแตกต่างกัน  ฉะนั้น ในการเขียนคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่างๆ วินัย.com ไม่แนะนำให้ลอกคำชี้แจงฯ ที่ทำขึ้นแบบรวมคนทุกกลุ่ม แล้วทำการตัดเย็บแจกแบบ “เสื้อโหล”  เพราะผู้ถูกกล่าวหาบางคนอาจไม่มีเจตนากระทำผิด แต่ต้องติดร่างแหไปก็เพราะความไว้ใจ หรือความเกรงใจเพื่อนร่วมงาน 
    ดังนั้น ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่รู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำผิด จึงไม่สมควรที่จะลอกคำชี้แจงฯ ของตัวการที่มีเจตนากระทำความผิด คำชี้แจงฯ ของผู้ถูกกล่าวหาที่ขาดเจตนากระทำความผิด ควรต้องออกแบบและตัดเย็บให้เข้ากับอำนาจหน้าที่ และพฤติการณ์ทางคดีของผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนครับ

เป้าหมายการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

    จากที่ วินัย.com ได้เรียนให้ทราบไปข้างต้นแล้วว่า "ข้อกล่าวหา" นั้น มีบ่อเกิดที่มาจากการรวมตัวของข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐาน ดังนั้น เป้าหมายสำคัญในการเขียนชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ก็คือการเขียนคำโต้แย้งส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งสามส่วนของข้อกล่าวหา 

    แต่ส่วนใหญ่การเขียนคำโต้แย้งข้อกล่าวหา ที่มักพบเห็นได้บ่อย ก็คือการโต้แย้งในส่วนของ “ข้อเท็จจริง” และ ” พยานหลักฐาน” ตามที่ปรากฏใน “บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาฯ” ส่วนการเขียนโต้แย้งในส่วนของ“ข้อกฎหมาย ”นั้น จะพบเห็นได้น้อย เพราะหากมีความไม่ชัดเจนในระเบียบ  หรือกฏหมายใด หน่วยงานมักจะออกหนังสือสั่งการวางแนวทางปฏิบัติกำกับไว้ตลอด จึงทำให้โอกาสในการโต้แย้งเรื่องความไม่ชัดเจนของระเบียบหรือกฎหมายนั้นมีได้น้อยมาก 


ดังนั้น ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาจึงควรใช้ประโยชน์จากการแจ้ง “ข้อกฎหมาย” หรือ "ฐานความผิด"  
ด้วยการนำองค์ประกอบความผิดตามข้อกฎหมายหรือฐานความผิดนั้น มาเป็นตัวกำหนดขอบเขตในการเขียนคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาครับ 


Tips: การชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
แม้การชี้แจงข้อกล่าวหาจะจบลงด้วย 2 เส้นทาง คือการปฎิเสธ หรือการรับสารภาพ แต่สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่เลือกเส้นทางปฏิเสธ ท่านจะต้องไม่รีบร้อนปรับข้อเท็จจริงที่ยังไม่ได้ข้อยุติ เข้ากับระเบียบหรือข้อกฏหมาย เพราะถ้าผู้สอบสวนได้ข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ผู้ถูกกล่าวหารวมได้ ก็อาจส่งผลให้การชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของท่านไม่ตรงประเด็นข้อกล่าวหา
 
    อีกทั้ง ท่านอย่าทำการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนการแก้ข้อกล่าวหา ขอให้ท่านตระหนักไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ท่านได้รับบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาจากผู้สอบสวน / ไต่สวน ย่อมเป็นกรณีที่ข้อกล่าวหานั้นมีพยานหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหาว่าท่านเป็นผู้กระทำผิดแล้ว ดังนั้น หากผู้ถูกกล่าวหา ทำการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนการแก้ข้อกล่าวหา ย่อมส่งผลให้คำชี้แจงฯ ฉบับนั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟังแต่อย่างใด

อนึ่ง วินัย.com ขอเรียนให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ เพื่อเป็นกำลังใจในการค้นหาพยานหลักฐานว่า เส้นทางการพิจารณาความผิดและการกำหนดโทษนั้น มิได้จำกัดอยู่ที่กลุ่มผู้สอบสวนเพียงกลุ่มเดียว เพราะในกระบวนการทางวินัย ยังมีกลุ่มบุคคลอีกหลายองค์คณะ ที่รอจะพิจารณาคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของท่านอยู่ ฉะนั้นแล้ว บรรดาพยานหลักฐานที่ท่านสละเวลาค้นหามา เพื่อสนับสนุนการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา จะถูกติดรวมในสำนวนการสอบสวน / ไต่สวน และเดินทางเป็นกระบอกเสียงให้กับท่านไปอีกไกล เพื่อประกอบการพิจารณาในหลายองค์คณะและหลายระดับชั้น  ซึ่งเว็บวินัยฯ เชื่อว่าแต่ละองค์คณะล้วนแต่มีดุลยพินิจ และมีมโนธรรมในการรับฟังข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่แตกต่างกัน ดังที่เคยปรากฏการเปลี่ยนแปลง หรือการเพิกถอนคำสั่งลงโทษอยู่เนืองๆ  ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหา "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์"    อย่า  !  ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาด้วยกระดาษแผ่นเดียว