ผู้ถูกกล่าวหาหลายท่านอาจสงสัยว่า เหตุใด “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” จึงเป็นหนังสือที่ต้องห้ามพลาด รวมทั้ง ถ้าเกิดการ “พลาด” ในหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว จะมีผลอย่างไรนั้น เรามาติดตามดูกันครับ

สำหรับการอธิบายเรื่องหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวในหน้าเพจนี้ วินัย.คอม ขอยก กฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 ซึ่งเป็นกฎสอบสวนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหา และการทำหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ใกล้เคียงกับกฎหรือระเบียบการสอบสวน / ไต่สวนของ ปปช. และข้าราชการประเภทอื่นๆ มาเป็นหลักในการอธิบาย
หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คือหนังสือที่ผู้ถูกกล่าวหาจัดทำขี้น เพื่อการชี้แจงหรือโต้แย้ง “ข้อกล่าวหา” และพฤติการณ์ประกอบข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ผู้สอบสวน / ไต่สวน ได้รวมรวบ “ข้อเท็จจริง” , “ข้อกฎหมาย” และ “พยานหลักฐาน” มาประมวลผลเป็น “ข้อกล่าวหา”
โดยที่ขั้นตอนการประมวล “ข้อกล่าวหา” ดังกล่าว เป็นการดำเนินการตามกฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 ข้อ 38 วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้รวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐาน ที่เกี่ยวข้อง ตามข้อ 28 (1) แล้วให้มีการประชุมคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาทำความเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยในเรื่องที่สอบสวนหรือไม่ ถ้าคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิดวินัยในเรื่องที่สอบสวน ให้รายงานผลการสอบสวนพร้อมความเห็นเสนอ ต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าจากข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย รวมทั้งพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยในเรื่องที่สอบสวน ให้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ ……”
สำหรับการสอบวินัยครู วินัยท้องถิ่น และการไต่สวนของ ปปช. ก็จะมีขั้นตอนการประมวลข้อกล่าวหาที่คล้ายกับหลักเกณฑ์การสอบสวนตามกฎ ก.พ. ข้างต้น ดังปรากฏตามระเบียบการสอบสวน / ไต่สวน ที่ยกมาให้เปรียบเทียบ ท้ายนี้
- กรณีการสอบวินัยครู กฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณาพ.ศ. 2550 ข้อ 24 ได้กำหนดว่า “… ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการประชุมเพื่อพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานใดสนับสนุนข้อกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาได้ กระทำการใด เมื่อใด อย่างไร และถ้าเห็นว่ายังฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำการตามที่ถูกกล่าวหา ก็ให้มีความเห็นยุติเรื่อง แล้วดำเนินการตามข้อ 38 และข้อ 39 โดยอนุโลม … ถ้าเห็นว่าเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด ก็ให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ถูกกล่าวหามาพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา …”
- กรณีการสอบวินัยท้องถิ่น เช่น ประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาล จังหวัด xx เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย พ.ศ.2558 ข้อ 61 ได้กำหนดว่า “… ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการประชุมเพื่อพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานใดสนับสนุนข้อกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการใด เมื่อใด อย่างไร และเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามข้อใด …. แล้วให้คณะกรรมการสอบสวนมีหนังสือเรียกผู้ถูกกล่าวหามาพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา……”
- กรณีการไต่สวนของ ปปช. ระเบียบคณะกรรมการ ปปช.ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ข้อ 72 ได้กำหนดว่า “ในการไต่สวน หากคณะกรรมการ ปปช. หรือคณะกรรมการไต่สวน เห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนข้อกล่าวหาว่ามีมูลความผิดให้กรรมการ ปปช. แจ้งข้อกล่าวหา ให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ”
จากกฎ ระเบียบ การสอบสวน / ไต่สวนข้างต้น หากจะกล่าวอย่างรวมๆ โดยอิงตามกฎ ก.พ. ซึ่งเป็นกฎขององค์กรกลางด้านการบริหารงานบุคคล ก็อาจกล่าวได้ว่าหลังจากการรวบรวมข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว การใช้ดุลยพินิจของผู้สอบสวน ต่อเรื่องกล่าวหาสามารถแบ่งได้ เป็น 2 กรณี ดังนี้
- กรณีที่ผู้สอบสวน เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิดวินัยในเรื่องที่สอบสวน ก็ให้รายงานผลการสอบสวนต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
- กรณีที่ผู้สอบสวน เห็นว่าข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานที่สอบสวนได้ เพียงพอที่จะรับฟังว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยในเรื่องที่สอบสวน ก็ให้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ
ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาฯจากผู้สอบสวน จึงเป็นกรณีที่ “ข้อกล่าวหา”นั้น มีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐาน เพียงพอที่จะรับฟังว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำผิดแล้วครับ
โอ – มาย – ก๊อต สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร เพราะบางครั้งกระบวนการสอบสวน / ไต่สวน อาจรับฟังข้อมูลจากพยานฝ่ายเดียว หรือข้อเท็จจริงตามที่สอบสวนได้ยังคงคลาดเคลื่อน เพราะยังมีข้อเท็จจริงอื่นมากกว่าที่สอบสวนได้ ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อผ้าที่ผู้สอบสวน / ไต่สวน ได้ไปพบเห็น หรือที่สอบสวนได้ ซึ่งทางออกที่สำคัญของผู้ถูกกล่าวหา ก็คือการโต้แย้งและชี้แจง “ข้อกล่าวหา”

ส่วนรูปแบบของการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหานั้น ส่วนใหญ่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาจะเลือกการทำเป็น “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” มากกว่าการเข้าพบผู้สอบสวน / ไต่สวน เพื่อให้ถ้อยคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา อาจเป็นเพราะมันมีความอิสระในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยไม่ต้องเกรงใจ หรือยึดติดกับกรอบคำถามตามดุลยพินิจของผู้สอบสวน / ไต่สวน ซึ่งจะตั้งขึ้นมาเพื่อสอบสวน เมื่อมีการเผชิญหน้ากัน อีกทั้ง การทำหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา จะทำให้ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาได้มีโอกาสปรึกษาผู้ที่ไว้ใจหรือทำการตรวจ / ทาน / แก้ไข หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาด้วยตนเองอีกหลายครั้ง เพื่อทบทวนประเด็นข้อต่อสู้ต่างๆ

เหตุใด “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” จึงเป็นหนังสือที่ต้องห้ามพลาด
เหตุที่ทำให้ “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” เป็นหนังสือที่ต้องห้ามพลาดนั้น นอกจากสาเหตุที่เว็บฯได้เรียนให้ทราบข้างต้นแล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาฯ เมื่อนั้น ย่อมเป็นกรณีที่ “ข้อกล่าวหา” มีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐาน เพียงพอที่จะรับฟังว่าท่านเป็นผู้กระทำผิดแล้ว
แต่ยังมีสาเหตุต้องห้าม “พลาด” อีกประการหนึ่งของหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ที่เว็บฯอยากเรียนให้ทราบเพิ่มเติมก็คือ ในการสอบวินัยหรือการไต่สวน ที่มีการชี้มูลความผิดทั้งทางวินัยและทางอาญา “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่ออนาคตการงาน และอิสรภาพของผู้ถูกกล่าวหา
เพราะหากเกิดการ “พลาด” ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ในหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ตัวอย่างเช่น
- ทำการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา “พลาด” ไม่ตรงประเด็นกล่าวหา เพราะไปมุ่งอธิบายเรื่องการแก้ไขงานหรือการส่งมอบงานที่มีผลสำเร็จแล้วในปัจจุบัน
- ทำการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา “พลาด” ไม่ตรงตามองค์ประกอบความผิดในข้อกฎหมาย เพราะความที่ไม่รู้ ข้อกฎหมาย
- ทำการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา “พลาด” เพราะไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน การชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
กรณีดังกล่าว อาจส่งผลให้หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหานั้น ไม่มีประเด็นที่ท่านยกขึ้นต่อสู้ หรือไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และนั่นย่อมหมายความว่าบรรดาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่ผู้สอบสวน / ไต่สวน เคยแจ้งต่อผู้ถูกกล่าวหามาแล้ว ในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาฯ จะมีน้ำหนักรับฟัง ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำผิดโดยอัตโนมัติ เพราะไม่มีสิ่งใดไปหักล้าง “ข้อกล่าวหา”
จากนั้น จะส่งผลให้เกิดกระบวนการพิจารณาโทษหรือการดำเนินการอื่นๆ ตามฐานความผิดที่ปรากฎในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาติดตามมา โดยคดีวินัย ก็จะเป็นหน้าที่หน่วยงานต้นสังกัด เช่น อกพ. กรม , กศจ. จังหวัดต่างๆ หรือ ก.ท้องถิ่นต่างๆ เป็นผู้พิจารณาสั่งลงโทษ ส่วนคดีอาญาก็จะมีการส่งตัวผู้ถูกกล่าวหาไปดำเนินคดีในชั้นศาลต่อไป เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงจะถึงบางอ้อแล้วนะครับ ว่าเหตุใด “หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา” จึงเป็นหนังสือ - ต้อง – ห้าม – พลาด
by อ.แจ๊ค วินัย.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น